ประวัติศาสตร์ค่ายบางระจัน
พ.ศ ๒๓๐๘ เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราช ที่ ๓ หรือ พระเจ้าบรมโกศ เสด็จสวรรคตในปีพ.ศ. ๒๓๐๑ ทรงมอบราชสมบัติให้สมเด็จพร ะบรมราชาธิราชที่ ๔ หรือพระนามที่เรามักเรียกว่ า กรมขุนพรพินิต แต่เมื่อครองราชสมบัติได้ ๑๐ วันก็ทรงถวายราชสมบัติให้แก ่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรัก ษ์มนตรี ซึ่งเป็นพระเชษฐาธิราชของกร มขุนพรพินิต ทรงพระนามว่า ...สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ หรือที่เรียกกันว่า สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์ หรือสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ
สมเด็จพระเจ้าเอกทัศมิได้ทร งพระปรีชาสามารถในงานการปกค รองบ้านเมือง พระอุปนิสัยส่วนพระองค์ก็ไม ่ทรงเข้มแข็งเด็ดขาด ซึ่งเป็นคุณสมบัติอันจำเป็น ที่พระเจ้าแผ่นดินจะพึงมีทำ ให้บรรดาข้าราชบริวาร และเหล่าเจ้านายทั้งหลายเกิ ดความระส่ำระส่าย ต่างคิดเอาใจออกห่าง ทั้งแบ่งพรรคแบ่งพวกไม่เกิด ความสามัคคีในหมู่ราชการ ไม่เต็มใจปฏิบัติงานราชการ
ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๓๐๒ พระเจ้าอลองพญามังลอง และมังระราชบุตร ยกกองทัพมาตีเมืองทวาย มะริด และตะนาวศรีซื่งเป็นของไทยใ นสมัยนั้น (ปัจจุบันเมืองทั้ง ๓ เป็นเมืองของสหภาพพม่าอยู่ท างด้านทิศตะวันตกของไทยใกล้ จังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี และประจวบคีรีขันธ์) สมเด็จพระเจ้าเอกทัศโปรดให้ กองทัพไทย ออกไปป้องกันถึง ๓ กองทัพ แต่ก็แตกพ่ายกลับพระนครทั้ง สิ้น ทางฝ่ายพม่าเมื่อเห็นไทยแตก พ่ายก็ได้ใจเร่งยกทัพล่วงเข ้ามาในเขตไทย จนกระทั่งมาตั้งทัพหลวงที่เ มืองสุพรรณบุรี
ครั้งนั้นบรรดาข้าราชการและ ราษฎรต่างพากันไปกราบทูลวิง วอน เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตให้ทรง ลาผนวชออกมาช่วยป้องกันรักษ าพระนคร เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตทรงลาผ นวชออกมารักษาพระนครให้แข็ง ขันกว่าเดิม ทรงส่งกองทัพออกไปตั้งรับข้ าศึก
ถึงกระนั้นก็ตามกองทัพไทยก็ แตกพ่ายทุกทัพ “ด้วยข้าราชการมิได้ปฎิบัติ ราชการสงครามอย่างแท้จริง”
พม่าสามารถยกเข้าถึงชานกรุง ศรีอยุธยา ใชัปืนใหญ่ระดมยิง พระราชวัง เผอิญพระเจ้าอลองพญามังลอถู กรางปืนแตกต้องพระองค์ประชว ร กองทัพพม่าจึงจำต้องยกกลับไ ป ซึ่งต่อมาพระเจ้าอลองพญามัง ลอก็ถึงแก่สวรรคต มังลอราชบุตรขึ้นเป็นกษัตริ ย์ในปี พ.ศ. ๒๓๐๗
พระเจ้ามังละเห็นว่าครั้งที ่แล้วต้องยกทัพกลับเพราะพระ เชษฐาประชวร จึงยังตีกรุงศรีอยุธยาไม่แต ก จำต้องยกทัพไปอีกครั้ง ปี พ.ศ. ๒๓๐๘ พระเจ้ามังระมีบัญชาให้มังม หานรธาเป็นแม่ทัพใหญ่นำไพร่ พล๑๕,๐๐๐ คนยกทัพเข้ามาทางใต้ ส่วนทางเหนือให้เนเมียวสีหบ ดีเป็นแม่ทัพใหญ่นำไพร่พลปร ะมาณ ๑๐,๐๐๐ คน เคลื่อนกองทัพออกจากเมืองเช ียงใหม่ กองทัพของมังมหานรธายกมาทาง ใต้เข้าตีเมืองทวายเมื่อตีไ ด้แล้ว ก็เลยไปตีเมืองมะริดและเมือ งตะนาวศรีของไทยด้วย พม่าได้ใจ ยกล่วงต่อไปทางเมืองกระ พม่าเผาเมืองชุมพร ตีเมืองปะทิวเมืองกุย ตลอดจนถึงปราณ แตกทั้ง ๓ เมือง มังมหานรธาส่งทัพหน้าเข้ามา ทางกาญจนบุรีในเดือน ๗ ปีนั้นปะทะกับกับทัพพระยาพิ เรนทรเทพ ที่ตั้งรอทัพพม่าอยู่ แต่ทัพไทยแตกพ่าย พม่ายกทัพเข้ามาตั้งค่ายอยู ่ที่ตำบลบ้านลูกแก ฆ่าฟันลูกค้าที่มาจอดเรืออย ู่แถบนั้นล้มตายเป็นอันมาก จากนั้นได้เข้ามาตั้งค่าย ณ ตอกระออมและดงรังหนองขาว ให้ไพร่พลต่อเรือรบเรือไล่อ ยู่ ณ ที่นั้น แล้วจัดทัพแยกไปตีเมืองเพชร บุรี เมืองราชบุรี ด้านเนเมียวสีหบดียกทัพจากท างเหนือเคลื่อนลงใต้ตีหัวเม ืองต่างๆลงมา ทางกรมการเมืองเหนือมีใบบอก ลงมาว่า ทางเหนือเนเมียวสีหบดีส่งทั พหน้าลงมาตั้งที่กำแพงเพชร ทำการต่อเรือรบ เรือลำเลียงพลตลอดจนสะสมเสบ ียงอาหาร
สมเด็จพระเจ้าเอกทัศโปรดให้ เจ้าพระยาพิษณุโลก ยกทัพไปตีข้าศึกในเดือน ๗ ทัพหน้าของพม่าก็ยกมาจากกำแ พงเพชรมาตั้งค่ายที่เมืองนค รสวรรค์ เดือน ๑๑ เนเมียวสีหบดียกจากเชียงใหม ่มาทางด่านสวรรคโลก ตีเมืองต่างๆ เรื่อยมาจนถึงสุโขทัย ได้เมืองสุโขทัยแล้วตั้งทัพ มั่นอยู่ในเมือง เจ้าพระยาพิษณุโลกยกทัพไปช่ วย แต่เกิดเหตุจลาจลที่เมืองพิ ษณุโลก เจ้าพระยาพิษณุโลกจึงจำต้อง ยกทัพกลับไปจัดการบ้านเมือง เนเมียวสีหบดีรบกับไทยที่เม ืองสุโขทัยจนถึงเดือนยี่ จึงได้ยกไปสมทบกับทัพหน้าที ่กำแพงเพชร
ในระยะแรกที่ฝ่ายไทยได้ทราบ ข่าวการรุกรานของพม่าและต่า งเห็นว่าพม่าต้องยกมาตีไทยแ น่นอน จึงได้ตระเตรียมทัพไว้เพื่อ รับมือ แต่การวางแผนรับมือทัพพม่าก ลับเป็นไปโดยผิดพลาดอย่างมห ันต์
ตำราพิชัยสงครามโบราณ มักจะกล่าวไว้ในบทที่ว่าถึง ความตื้นลึกหนาบางว่า " ให้ศัตรูเป็นฝ่ายเปิดเผย ส่วนเราไม่สำแดงร่องรอยให้ป ระจักษ์ กระนี้ฝ่ายเรารวม แต่ศัตรูแยก เรารวมเป็นหนึ่ง ศัตรูแยกเป็นสิบ เท่ากับเราเอาสิบเข้าตีหนึ่ ง เมื่อกำลังฝ่ายเรามากแต่ศัต รูน้อย การที่เอากำลังมาจู่โจมกำลั งน้อย สิ่งที่เราจะจู่โจมกับข้าศึ กก็ง่ายดาย "
การตั้งรับของกองทัพไทยที่ว างแผนไว้รับมือทัพพม่านั้น กลับทำในทางตรงกันข้ามกับหล ักในพิชัยสงคราม โดยไทยเราให้แยกกองทัพออกไป รักษาพระนครโดยรอบทิศตามหัว เมืองต่างๆ ทำให้กำลังในแต่ละกองลดน้อย ลงมีรายละเอียดพอจะสรุปได้ ตามนี้คือ
ขั้นแรก ให้เกณฑ์ทหารออกไปรักษาด่าน แบ่งกองทัพเรือออกเป็น ๙ กอง ๆละ ๒๐ ลำ ในแต่ละกองมีกำลังไพร่พลทหา รประจำกองละ ๑,๔๐๐ คน พร้อมด้วยเครื่องศาสตราวุธ ให้นำเรือรบไป ๑ ลำ มีปืนใหญ่ ๑ กระบอก ปืนขนาดเล็ก ๑ กระบอก แล้วแบ่งไปประจำที่ต่าง ๆ ดังนี้ ๑ ให้พระราชสงกรานต์ ไปตั้งรับทัพพม่าทางปากน้ำเ จ้าพระยา ๒ ให้ศรีภูเบศร์ ไปตั้งรับพม่าทางเมืองพรหมบ ุรี ๓ ให้หม่อมทิพยุพันไปตั้งรับพ ม่าทางเมืองพรหมบุรี ๔ ให้หม่อมเทไพ ไปตั้งรับพม่าทางเมืองอินทร ์บุรี ๕ ให้หม่อมมหาดเล็กวังหน้า ไปตั้งรับพม่าทางแม่น้ำเมือ งสิงห์บุรี ๖ ให้หลวงศรียุทธ ไปตั้งรับพม่าทางปากน้ำหิงส า ๗ ให้ศรีวรข่าน ไปตั้งรับพม่าทางปากน้ำประส บ ๘ ให้พระยาจุหล่า (แขก) ไปตั้งรับพม่าทางปากน้ำพระป ระแดง (พระมะดัง) ๙ ให้หลวงหรทัยคุมออกไปตั้งรั บพม่าทางปากน้ำลำทอง ขั้นที่สอง สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ทรงมีรับสั่งให้จัดกองทัพไป ตั้งรับกองทัพพม่า แต่ละทัพห่างไกลกันออกไปเป็ นจุดต่างๆ กันดังนี้ กองทัพที่ ๑ ให้พระยาพิพัฒน์โกษา เป็นแม่ทัพใหญ่คุมกองทัพ ๑๓ กอง แต่ละกองมีกำลัง ๑,๐๐๐ คน มีช้างคลุมเกราะเหล็ก ๑๐ เชือก ช้างเชือกหนื่งมีปืนใหญ่ขนา ดเล็ก ๒ กระบอก มีควาญหัว ๑ คน กลาง ๑ คน ท้ายช้าง ๑ คน มีพลทหารถือทวนตามช้างอีกข้ างละ ๑๐๐ คน ให้ไปตั้งรับพม่าที่เมืองมะ ริด เมืองตะนาวศรี กองทัพที่ ๒ ให้พระยาเพชรบุรี เป็นแม่ทัพใหญ่ คุมกองทัพ ๑๑ กองแต่ละ กองจัดกำลังเหมือนกองทัพที่ ๑ ให้ไปตั้งรับพม่าทางเมืองสว รรคโลก กองทัพที่ ๓ ให้ศิริธรรมราชา เป็นปลัดทัพ ให้พระยาพิพัฒน์โกษาเป็นแม่ ทัพคุมกองทัพ ๗ กองอีกทางหนึ่ง เพราะอยู่ในเขตใกล้เคียงกัน ให้ไปตั้งที่ตำบลท่ากระดานเ ขตแดนเมืองกาญจนบุรี กองทัพที่ ๔ ให้เจ้าพระยากลาโหม คุมกองทัพ ๑๕ กอง การจัดกำลังกองทัพจัดแบบเดี ยวกับกองทัพที่ ๑ ให้ไปตั้งรับทัพพม่าทางเมือ งราชบุรี กองทัพที่ ๕ ให้พระยาธิเบศร์ เป็นแม่ทัพ คุมกองทัพ ๑๔ กอง การจัดกำลังกองทัพเหมือนกอง ทัพที่ ๑ ให้ไปตั้งรับพม่าทางเมืองรา ชบุรี การที่ทางกรุงศรีอยุธยาได้จ ัดเตรียมการป้องกัน พระนครและเตรียมสู้รบพม่าโด ยจัดแบ่งออกเป็นกองย่อยๆ มากมายและแยกไปตามจุดต่างๆ โดยกองทัพพม่ายกมาจริงๆ เพียงสองทางเท่านั้น
ดังนั้นกองทัพไทยที่ไปอยู่อ ีกหลายจุดที่กองทัพพม่ามิได ้เคลื่อนทัพผ่าน จึงไม่ได้สู้รบกับพม่าเป็นก ารสูญเสียกำลังไปโดยปราศจาก ประโยชน์ ส่วนทางด้านที่กองทัพพม่าเค ลื่อนผ่านมา ปะทะกับกองทัพไทยแต่ฝ่ายเรา มีน้อยกว่าเพราะได้กระจายกำ ลังไปตามจุดต่างๆ คือเปรียบดังเอา ๑ เข้าสู้กับ ๑๐ ซึ่งแทนที่จะเอากำลัง ๑๐ ส่วนเข้าทำลายกำลัง ๑ ส่วน ฝ่ายกองทัพไทยน้อยกว่าย่อมย ากแก่การที่จะเอาชนะ เหตุนี้น่าจะเป็นอีกเหตุหนึ ่งที่ทำให้ไทยต้องเสียกรุงเ ป็นครั้งที่ ๒ แล้วผลการรบเป็นไปตามที่ได้ คาดไว้ ทัพไทยพ่ายศึกในแทบทุกทางที ่ปะทะกับกองทัพพม่า ทำให้กองทัพพม่ารุกคืบหน้าเ ข้ามาทุกที และแล้วกรุงศรีอยุธยาก็ตกอย ู่ในวงล้อมกองทัพพม่า
ในขณะที่กองทัพพม่ากำลังตั้ งค่ายขยายวงล้อมกรุงศรีอยุธ ยา ในด้านเหนือมีทัพของเนเมียว สีหบดียกเข้ามาตั้งค่ายใหญ่ อยู่ที่ ตำบลวัดป่าฝ้าย ปากน้ำพระประสบ ทัพของมังมหานรธาที่ยกมาทาง ใต้มาตั้งค่ายใหญ่ที่ ตำบลสีกุก พระเจ้ามังระส่งทัพหนุนเข้า มาอีก คือ สุรินทรจอข่อง มณีจอข่อง มหาจอข่อง อากาปันยี ถือพลพันเศษยกมาทางเมาะตะมะ เดินทัพเข้ามาทางอุทัยธานีม าตั้งค่ายอยู่แชวงเมืองวิเศ ษชัยชาญ ในเดือนยี่ พ.ศ. ๒๓๐๘ พระยาเจ่งตละเสี้ยง ตละเกล็บ คุมพลรามัญจากเมาะตะมะประมา ณสองพันเศษเข้ามาทางกาญจนบุ รีมาถึงค่ายตอกระออม แล้วยกทัพเรือหนุนเข้ามาตั้ งค่ายอยู่ ณ ขนอนวัดโปรดสัตว์ จากสภาพการณ์จะเห็นได้ว่าทั พพม่าเข้าประชิดชานพระนครกำ ลังโอบล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ เกือบจะรอบอยู่แล้ว ในช่วงนี้เองที่เกิดวีรกรรม ของชาวบ้านบางระจันการต่อสู ้ระหว่างกองทัพพม่ากับชาวบ้ านธรรมดาโดยลำพัง ซึ่งเป็นชาวบางระจันรวมตัวก ับชาวเมืองใกล้เคียงอันได้แ ก่ ชาวเมืองวิเศษชัยชาญ เมืองสิงห์บุรี เมืองสรรค์บุรี
เป็นวีรกรรมของพลเมืองธรรมด าที่ลุกขึ้นต่อสู้ การรุกรานอันกดขี่ของพม่า พวกเขาเหล่านั้นต่อสู้กับคว ามอยุติธรรม ความโหดเหี้ยมของผู้รุกราน ซึ่งทั้งปล้นชิงทรัพย์สินหญ ิงสาวถูกข่มขืนและนำไปเป็นน างบำเรอ ปล้นบ้านเผาเมือง ทำลายไร่นาเก็บเอาผลผลิตไปห มดสิ้น ใครขัดขวางจะถูกฆ่า จับผู้คนกวาดต้อนไปเป็นเชลย เพื่อใช้แรงงานเป็นทาส ความเดือดร้อนเกิดขึ้นทุกหย ่อมหญ้า แผ่นดินแทบลุกเป็นไฟ อิสรภาพกำลังถูกคุกคามจากน้ ำมือผู้รุกราน ผู้ที่จะทำให้ไทย ที่"ไท" ซึ่ง หมายความว่า ผู้ยิ่งใหญ่ ต้องแปดเปื้อนอีกครั้ง ราชการบ้านเมืองก็อ่อนแอจะห าผู้ใดมาปกป้องก็หาได้ไม่ จนเหลือกำลังสุดที่จะทนต่อไ ปได้อีก
เหตุการณ์อันเป็นวีรกรรมที่ ประวัติศาสตร์ไทยต้องจารึกถ ึงความกล้าหาญ ความสามัคคี การยอมสละชีพเพื่อต่อต้านข้ าศึก ไม่ก้มหัวให้ศัตรูที่ได้กระ ทำโดยชาวบ้านธรรมดาอันปราศจ ากกองทัพใดๆ เข้าช่วยเหลือ วีรกรรมของชาวบ้านบางระจันเ ริ่มขึ้นเมื่อ เนเมียวสีหบดีแม่ทัพพม่าที่ เคลื่อน ทัพมาจากทางเหนือได้ส่งทหาร กองหนึ่งออกลาดตระเวน กวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินท างเมืองวิเศษชัยชาญ เท่านั้นยังไม่พอ หากพบว่าบ้านใดมีลูกสาวก็เร ียกเอาตัวด้วยหากไม่ให้ก็ฉุ ดคร่าเอามา หากต่อสู้ก็ฆ่าทิ้งเสีย ทำให้คนไทยโกรธแค้นพม่ามากย ิ่งขึ้นทนต่อการกระทำของทหา รพม่าอีกไม่ได้ จึงแอบคบคิดกันต่อสู้พม่า
ในเดือน ๓ ปีระกา พ.ศ. ๒๓๐๘ พวกชาวเมืองวิเศษชัยชาญ เมืองสิงห์ เมืองสรรค์ และชาวบ้านใกล้เคียง พากันคบคิดอุบายเพื่อล่อลวง พม่า ทั้งรวบรวมผู้คนไว้เพื่อทำก าร ในบรรดาชาวบ้านที่ร่วมกันอย ู่นี้มีหัวหน้าที่สำคัญคือ นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมือง ชาวบ้านสีบัวทอง แขวงเมืองสิงห์ นายดอก ชาวบ้านกรับ และนายทองแก้ว บ้านโพทะเล แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ ชาวไทยเหล่านี้ต่างพากันหลอ กลวงพม่าว่าจะนำไปหาทรัพย์ส ิ่งของที่ต้องการพม่าหลงเชื ่อตามไป ก็ถูกนายโชติซึ่งคุมสมัครพร รคพวกซุ่มอยู่บุกเข้ามาฆ่าฟ ันพม่าตายประมาณ ๒๐ คน และชาวบ้านที่ร่วมก่อการก็พ าพรรคพวกครอบครัวอพยพหันมาพ ึ่งพระอาจารย์ธรรมโชติ ซึ่งมีกิตติศัพท์ว่ามีคุณคว ามรู้ดีเชี่ยวชาญทางวิทยาคม มาก
ต่อมานายแท่นและผู้มีชื่ออื ่นๆ ชักชวนชาวบ้านได้อีกประมาณ ๔๐๐ คนเศษพากันมาอยู่ที่บ้านบาง ระจัน หลังจากนั้นก็ตั้งค่ายขึ้นท ี่บ้านบางระจัน ๒ ค่าย คือ ค่ายใหญ่และค่ายน้อย ทั้งนี้เพื่อป้องกันทหารพม่ าที่จะยกติดตามมาพระอาจารย์ ธรรมโชติได้ลงตะกรุดประเจีย ดมงคล แจกจ่ายชาวค่าย สำหรับป้องกันตัวและเป็นกำล ังใจ นอกจากนี้มีคนไทยชั้นหัวหน้ าที่เข้ามาร่วมด้วยอีก ๕ คน คือขุนสรรค์ พันเรือง นายทองเหม็น นายจันหนวดเขี้ยว และนายทองแสงใหญ่ รวมหัวหน้าที่สำคัญของค่ายบ างระจันครั้งนั้นรวม ๑๑ คน ท่านเหล่านี้รวมทั้งชาวบ้าน อื่นๆ ได้สู้รบกับพม่าถึง ๘ ครั้ง แม้จะเสียเปรียบด้านอาวุธแล ะกำลังไพร่พลแต่ด้วยความรัก ชาติ ความสามัคคี ความกล้าหาญ ตลอดจนความเสียสละ จึงทำให้ได้รับชัยชนะถึง ๗ ครั้งอันเป็นวีรกรรมอันยิ่ง ใหญ่ของชาวบ้านบางระจัน จนได้รับการจารึกไว้ในประวั ติศาสตร์ดังนี้
ประวัติศาสตร์การรบทั้ง ๘ ครั้ง
การรบครั้งที่ ๑ ทหารพม่าที่เมืองวิเศษชัยชา ญยกพลมาประมาณ ๑๐๐ เศษ มาตามจับพันเรืองเมื่อถึงบ้ านบางระจัน ก็หยุดอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำ (บางระจัน) นายแท่นจัดคนให้รักษาค่ายแล ้วนำคน ๒๐๐ ข้ามแม่น้ำไปรบกับพม่า ทหารพม่าไม่ทันรู้ตัวยิงปืน ได้เพียงนัดเดียวชาวไทยซึ่ง มีอาวุธสั้นทั้งนั้นก็กรูเข ้าไล่ฟันแทงพม่าถึงขั้นตะลุ มบอน พลทหารพม่าล้มตายหมดเหลือแต ่ตัวนายสองคนขึ้นม้าหนีไปได ้ ไปแจ้งความให้นายทัพพม่าที่ ค่ายแขวงเมืองวิเศษชัยชาญทร าบ และส่งข่าวให้แม่ทัพใหญ่คือ เนเมียวสีหบดี ซึ่งตั้งค่ายใหญ่อยู่ ณ ปากน้ำพระประสบทราบด้วย
การรบครั้งที่ ๒ เนเมียวสีหบดีจึงแต่งให้งาจ ุนหวุ่น คุมพล ๕๐๐ มาตีค่ายบางระจัน นายแท่นก็ยกพลออกรบ ตีทัพพม่าแตกพ่ายล้มตายเป็น อันมาก แม่ทัพพม่าได้เกณฑ์ทหารเพิ่ มเป็น ๗๐๐ คน ให้เยกินหวุ่นคุมพลยกมาตีค่ ายบางระจัน ทัพพม่าก็ถูกตีแตกพ่ายอีกเป ็นครั้งที่ ๒
การรบครั้งที่ ๓ เมื่อกองทัพพม่าต้องแตกพ่าย หลายครั้ง เนเมียวสีหบดีเห็นว่าจะประม าทกำลังของชาวบ้านบางระจันต ่อไปอีกไม่ได้ จึงเกณฑ์พลเพิ่มเป็น ๙๐๐ คน ให้ติงจาโบ เป็นผู้คุมทัพครั้งนี้ชาวบ้ านบางระจันมีชัยชนะพม่าอีกเ ช่นครั้งก่อนๆ
การรบครั้งที่ ๔ การที่พม่าแพ้ไทยหลายครั้งเ ช่นนี้ ทำให้พม่าขยาดฝีมือคนไทย จึงหยุดพักรบประมาณ ๒-๓ วัน แล้วเกณฑ์ทัพใหญ่เพื่อมาตีค ่ายบางระจัน มีกำลังพลประมาณ๑,๐๐๐ คน ทหารม้า ๖๐ สุรินจอข่องเป็นนายทัพ พม่ายกทัพมาตั้งที่บ้านห้วย ไผ่ (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอแสว งหา จังหวัดอ่างทอง) ฝ่ายค่ายบางระจันได้จัดเตรี ยมกันเป็นกระบวนทัพสู้พม่าค ือ นายแท่นเป็นนายทัพคุมพล ๒๐๐ พันเรืองเป็นปีกซ้ายคุมพล ๒๐๐ ชาวไทยเหล่านี้มีปืนคาบศิลา บ้าง ปืนของพม่าและกระสุนดินดำขอ งพม่า ซึ่งเก็บได้จากการรบครั้งก่ อนๆ บ้าง นอกจากนั้นก็เป็นอาวุธตามแต ่จะหาได้ ทัพไทยทั้งสามยกไปตั้งที่คล องสะตือสี่ต้น อยู่คนละฟากคลองกับพม่า ต่างฝ่ายต่างยิงตอบโต้กันฝ่ ายไทยชำนาญภูมิประเทศกว่า ได้ขนไม้และหญ้ามาถมคลอง แล้วพากันรุกข้ามรบไล่พม่าถ ึงขั้นใช้อาวุธสั้น พม่าล้มตายเป็นอันมาก ตัวสุรินทรจอข่องนายทัพพม่า ขี่ม้ากั้นร่มระย้าเร่งให้ต ีกองรบอยู่กลางพล ถูกพลทหารไทยวิ่งเข้าไปฟันต าย ณ ที่นั้น ส่วนนายแท่นแม่ทัพไทยก็ถูกป ืนที่เข่าบาดเจ็บสาหัสต้องห ามออกมาจากที่รบ ทัพไทยกับพม่ารบกันตั้งแต่เ ช้าจนเที่ยง ต่างฝ่ายต่างอิดโรย จึงถอยทัพจากกันอยู่คนละฟาก คลอง พวกชาวบ้านบางระจันในค่ายก็ นำอาหารออกมาเลี้ยงดูพวกทหา ร ขณะพม่าต้องหุงหาอาหารและมั วจัดการศพแม่ทัพไม่ทันระวัง ตัว กองสอดแนมของไทยมาแจ้งข่าว พวกทหารไทยกินอาหารเสร็จแล้ วก็ยกข้ามคลองเข้าโจมตีพม่า พร้อมกันทันที ทหารพม่าแตกพ่ายไม่เป็นกระบ วน ที่ถูกอาวุธล้มตายประมาณสาม ส่วน และเสียเครื่องอาวุธยุทธภัณ ฑ์เป็นอันมาก ไทยไล่ติดตามจนใกล้ค่ำจึงยก กลับมายังค่าย กิตติศัพท์ความเก่งกล้าของช าวบ้านบางระจันแพร่หลายออกไ ปมีชาวบ้านอื่นๆ อพยพครอบครัวเข้ามาอาศัยอยู ่ในค่ายบางระจันเพื่อขึ้นอี กเป็นลำดับ
การรบครั้งที่ ๕ พม่าเว้นระยะไม่ยกมาตีค่ายบ างระจันอยู่ประมาณ ๑๐-๑๑ วัน ด้วยเกรงฝีมือชาวไทย หลังจากนั้นจึงแต่งทัพยกมาอ ีกครั้งหนึ่ง มีแยกออกเป็นนายทัพ คุมทหารซึ่งเกณฑ์แบ่งมาจากท ุกค่ายเป็นคนประมาณ ๑,๐๐๐ คนเศษ พร้อมด้วยม้าและอาวุธต่างๆแ ต่กองทัพพม่านี้ก็ปราชัยชาว บ้านบางระจันแตกพ่ายไป
การรบครั้งที่ ๖ นายทัพพม่าครั้งที่ ๖ นี้คือ จิกแก ปลัดเมืองทวาย คุมพล ๑๐๐ เศษ ฝ่ายไทยมีชัยชนะอีกเช่นเคย
การรบครั้งที่ ๗ เนเมียวสีหบดีได้แต่งกองทัพ ให้ยกมาตีค่ายบางระจันอีก ให้อากาปันคยีเป็นแม่ทัพคุม พล ๑,๐๐๐ เศษ อากาปันคยียกกองทัพไปตั้ง ณ บ้านขุนโลก ทางค่ายบางระจันดำเนินกลศึก คือ จัดให้ขุนสรรค์ซึ่งมีฝีมือแ ม่นปืน คุมพลทหารปืนคอยป้องกันกองท ัพม้าของพม่า นายจันหนวดเขี้ยวเป็นแม่ทัพ ใหญ่คุมพล ๑,๐๐๐ เศษออกตีทัพพม่าและล้อมค่าย ไว้ ทหารไทยใช้การรบแบบจู่โจม พม่ายังไม่ทันตั้งค่ายเสร็จ ก็ถูกโอบตีทางหลังค่าย ทหารพม่าถูกฆ่าตายเกือบหมดเ หลือรอดตายเป็นส่วนน้อย แม่ทัพก็ตายในที่รบครั้งนี้ ทำให้พม่าหยุดพักรบนานถึงคร ึ่งเดือน
การรบครั้งที่ ๘ การที่พม่าส่งกองทัพมาปราบค ่ายบางระจันถึง ๗ ครั้ง แต่ต้องแตกพ่ายยับเยินทุกคร ั้งนั้น ทำให้แม่ทัพใหญ่ของพม่าวิตก มาก เนื่องจากชาวบ้านบางระจันมี กำลังเข้มแข็งขึ้นทุกที และทหารพม่าก็พากันเกรงกลัว ฝีมือไทย ไม่มีใครอาสาเป็นนายทัพ ขณะนั้นมีชาวรามัญผู้หนึ่งเ คยอยู่เมืองไทยมานาน รู้จักนิสัยคนไทยและภูมิประ เทศดี ได้เข้าฝากตัวทำราชการอยู่ก ับพม่าจนได้รัยตำแหน่งสุกี้ หรือพระนายกอง สุกี้เข้ารับอาสาจะขอไปตีค่ ายบางระจัน เนเมียวสีหบดีจึงแต่งตั้งให ้เป็นแม่ทัพคุมพล ๒,๐๐๐ พร้อมทั้งม้าและสรรพาวุธทั้ งปวง สุกี้ดำเนินการศึกอย่างชาญฉ ลาด เมื่อเวลาเดินทัพไม่ตั้งทัพ กลางแปลงอย่างทัพอื่น ให้ตั้งค่ายรายไปตามทาง ๓ ค่าย และรื้อค่ายหลังผ่อนไปสร้าง ข้างหน้าเป็นลำดับ
(เป็นที่น่าสังเกตุว่าการเค ลื่อนทัพโดยตั้ง ๓ ค่ายของสุกี้นี้ เป็นวิธีเดียวกับการเดินทัพ ของกองทัพเล่าปี่ ที่มีขงเบ้งเป็นแม่ทัพในสงค รามสามก๊ก ใช้ตั้งรับทัพที่เชี่ยวชาญก ารรบในท้องที่นั้นๆ น่าจะแสดงให้เห็นว่าสุกี้ ชาวรามัญผู้นี้ต้องเป็นผู้เ ชี่ยวชาญในพิชัยสงครามหรือ อย่างน้อยต้องศึกษาประวัติศ าสตร์สงครามมาอย่างลึกซึ้ง ) ใช้เวลาถึงครึ่งเดือนจึงใกล ้ค่ายบางระจัน สุกี้ใข้วิธีตั้งมั่นรบอยู่ ในค่าย ด้วยรู้ว่าคนไทยเชี่ยวชาญกา รรบกลางแปลง พวกหัวหน้าค่ายบางระจันนำกำ ลังเข้าตีค่ายพม่าหลายครั้ง ไม่สำเร็จกลับทำให้ไทยเสียไ พร่พลไปเป็นจำนวนมาก
วันหนึ่งนายทองเหม็นดื่มสุร าแล้วขี่กระบือนำพลส่วนหนึ่ งเข้าตีค่ายพม่า สุกี้นำพลออกรบนอกค่าย นายทองเหม็นถลำเข้าอยู่ท่าม กลางข้าศึกแต่ผู้เดียว แม้ว่าจะมีฝีมือสามารถฆ่าฟั นทหารพม่ารามัญล้มตายหลายคน แต่ในที่สุดก็ถูกทหารพม่ารุ มล้อมจนสิ้นกำลังและถูกทุบต ีตายในที่รบ (เล่าขานกันมาว่านายทองเหม็ นเป็นผู้รู้ในวิชาคงกระพันช าตรี และมีของขลังป้องกันภยันตรา ย ฟันแทงไม่เข้า หากจะทำร้ายคนมีวิชาเช่นนี้ จะต้องตีด้วยของแข็ง)
ทัพชาวบ้านบางระจันเมื่อเสี ยนายทัพก็แตกพ่าย ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกในกา รรบกับพม่า ทัพพม่ายกติดตามมาจนถึงบ้าน ขุนโลกใกล้ค่ายบางระจัน แล้วตั้งค่ายมั่นอยู่ ทัพบางระจันพยายามตีค่ายพม่ าอีกหลายครั้งไม่สำเร็จก็ท้ อถอย สุกี้จึงให้ทหารขุดอุโมงค์เ ข้าใกล้ค่ายน้อยบางระจัน ปลูกหอรบขึ้นสูงนำปืนใหญ่ขึ ้นยิงเข้าไปในค่ายถูกผู้คนล ้มตายเป็นอันมาก ค่ายน้อยบางระจันก็แตกพ่ายล งนอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ทำ ให้ชาวบ้านบางระจันเสียกำลั งใจลงอีกคือ นายแท่นหัวหน้าค่ายที่ถูกปื นที่เข่าบาดเจ็บครั้งที่สุร ินทรจอข่องเป็นแม่ทัพยกมาเม ื่อการรบครั้งที่ ๔ นั้นได้ถึงแก่กรรมลง ในเดือน ๖ ปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙ หัวหน้าชาวบ้านบางระจันคนอื ่น ได้พยายามจะนำทัพไทยออกรบกั บพม่าอีกหลายครั้ง วันหนึ่งทัพพม่าสามารถตีโอบ หลังกระหนาบทัพไทยได้ ขุนสรรค์และนายจันหนวดเขี้ย วได้ทำการรบจนกระทั่งตัวตาย ในที่รบ ยังเหลือแต่พันเรืองและนายท องแสงใหญ่เป็นหัวหน้าสำคัญ
ชาวค่ายบางระจันเห็นว่าตนเส ียเปรียบ ผู้คนล้มตายลงไปมาก เหลือกำลังที่จะต่อสู้กับพม ่าแล้ว จึงมีใบบอกเข้าไปยังกรุงศรี อยุธยาขอปืนใหญ่ ๒ กระบอก พร้อมด้วยกระสุนดินดำเพื่อจ ะนำมายิงค่ายพม่า ทางพระนครปรึกษากันแล้วเห็น พร้อมกันว่าไม่ควรให้เนื่อง จากกลัวว่าพม่าจะแย่งชิงกลา งทางบ้าง หรือหากพม่าตีค่ายบางระจันแ ตก พม่าก็จะได้ปืนใหญ่นั้นมาเป ็นกำลังรบพระนคร พระยารัตนาธิเบศร์ไม่เห็นด้ วยในข้อปรึกษา จึงออกไป ณ ค่ายบางระจัน เรี่ยไรเครื่องภาชนะทองเหลื องทองขาวจากพวกชาวบ้านหล่อป ืนใหญ่ขึ้นมาสองกระบอก แต่ปืนทั้งสองนั้นร้าวใช้ไม ่ได้ พระยารัตนาธิเบศร์เห็นว่ากา รศึกจะไม่เป็นผลสำเร็จจึงกล ับพระนคร
เมื่อขาดที่พึ่งชาวบ้านบางร ะจันก็เสียกำลังใจมากขึ้น ฝีมือการสู้รบกับพม่าก็พลอย อ่อนลง บางพวกก็พาครอบครัวหลบหนีออ กจากค่าย ผู้คนในค่ายก็เบาบางลง ในที่สุดพม่าก็สามารถตีค่าย ใหญ่บางระจันได้ ในวันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือนแปด ปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙ รวมเวลาที่ไทยรบกับพม่าตั้ง แต่เดือน ๔ ปลายปีระกา พ.ศ. ๒๓๐๘ ถึงเดือนแปด ปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙ เป็นเวลาทั้งสิ้น ๕ เดือน พม่าได้กวาดต้อนชาวไทยในค่า ยบรรดาที่รอดตายทั้งหลายกลั บไปยังค่ายพม่า ส่วนพระอาจารย์ธรรมโชติซึ่ง เป็นผู้หนึ่งที่ช่วยให้กำลั งใจให้ชาวบ้านบางระจันสู้รบ กับพม่าอย่างห้าวหาญนั้น ไม่ปรากฏว่าท่านมรณภาพอยู่ใ นค่าย ถูกกวาดต้อน หรือหลบหนีไปได้
รายชื่อวีรชนที่ปรากฏในประว ัติศาสตร์
1.พระอาจารย์ธรรมโชติ เดิมอยู่วัดเขานางบวช แล้วมาอยู่วัดโพธิ์เก้าต้น มีความรู้ ทางวิชาอาคม เป็นที่พึ่งทางใจแก่ชาวค่าย บางระจัน
2.นายแท่น เป็นชาวบ้านสีบัวทอง ถืออาวุธสั้น ถูกปืนของพม่าที่เข่าใน การรบครั้งที่ 4 เสียชีวิตเมื่อการรบครั้งสุ ดท้าย
3.นายอิน เป็นชาวบ้านสีบัวทอง
4.นายเมือง เป็นชาวบ้านสีบัวทอง
5.นายโชติ เป็นชาวบ้านสีบัวทอง ถืออาวุธสั้น
6.นายดอก เป็นชาวบ้านกลับ
7.นายทองแก้ว เป็นชาวบ้านโพทะเล
8.นายจัน หนวดเขี้ยว เก่งทางใช้ดาบ เสียชีวิตในการรบครั้งที่ 8
9.นายทอง แสงใหญ่
10.นายทองเหม็น ขี่กระบือเข้าสู้รบกับพม่า ตกในวงล้อมถูกพม่าตีตายใน การรบครั้งที่ 8
11.ขุนสรรค์ มีฝีมือเข้มแข็งมักถือปืนเป ็นนิจ แม่นปืน
12.พันเรือง
เหตุการณ์ในระยะเวลา ๕ เดือนที่ชาวบ้านบางระจันและ ชาวบ้านใกล้เคียงกันไม่ว่าจ ะเป็น ชาวเมืองสิงห์ เมืองสรรค์ เมืองวิเศษชัยชาญได้รวมตัวก ันร่วมแรงร่วมใจเข้าต่อต้าน กองทัพพม่าที่มีกำลังมากกว่ าในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นจำนว นไพร่พล อาวุธยุทโธปกรณ์ ชาวบางระจันใช้ประโยชน์จากช ัยภูมิที่มีความชำนาญในท้อง ที่กว่า ใช้การรบแบบกองโจร ซุ่มโจมตีกองทัพพม่า ฆ่าฟันทหารพม่าตายรวมแล้วหล ายพันคน เข้ารบพุ่งโรมรันโดยมิเกรงว ่าจะเสียชีวิต ทำให้พม่าครั่นคร้ามในฝีมือ รบของชาวไทย โดยแท้ชาวบ้านบางระจันแตกพ่ ายทัพพม่าในการรบครั้งสุดท้ าย หาใช่ด้วยสติปัญญาชาวพม่าไม ่ ชาวเราแพ้ชาวรามัญที่อยู่ใน ไทยมานานและไปฝากตัวรับราชก ารในกองทัพพม่า จนได้ตำแหน่งสุกี้ วางแผนคุมกองทัพพม่ายกมาตีค ่ายบางระจันในครั้งที่ ๘ ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ประวัต ิศาสตร์ ที่ ชาวสิงห์บุรี และชาวไทยทุกคนต้องภาคภูมิใ จ ในความกล้าหาญ และความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่ง ใจเดียวกัน เพื่อปกป้องมาตุภูมิ จากการข่มเหงของชาวชาติอื่น
แม้ชาวบ้านบางระจันจะพ่ายแพ ้ในที่สุด แต่ชื่อเสียงและเกียรติคุณย ังคงอยู่แม้เวลาล่วงเลยมา ๒๐๐ กว่าปีแล้ว เรื่องราวของวีรกรรมชาวค่าย บางระจันยังคงอยู่เปรียบดัง ผู้เป็นอมตะ แม้ตัวจะตายไปชื่อยังคงอยู่ แม้จะไม่มีชื่อวีรชนทั้งหมด แต่วีรกรรมยังคงอยู่ ปรากฏอยู่ในหน้าหนึ่งของประ วัติศาสตร์
แม้แต่ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภา พ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไท ย ยังทรงพระนิพนธ์ไว้ในหนังสื อไทยรบพม่า ตอนวีรชนชาวบ้านบางระจัน เป็นเรื่องเล่าจากปากผู้คนจ ากรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ ่ง จากพ่อสู่ลูก เป็นนิทานก่อนนอนของปู่เล่า สู่ลูกหลาน ให้เด็กๆได้จินตนาการถึงภาพ ความกล้าหาญ ภาพชาวค่ายบางระจันรุกรบกับ กองทัพพม่า เป็นอุทาหรณ์แก่อนุชนรุ่นหล ังให้ตระหนักถึงความกล้าหาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามัค คี
เป็นเรื่องที่พิสูจน์คำกล่า วที่ว่า "สามัคคีคือพลัง" ได้อย่างแน่แท้ปราศจากข้อสง สัย หากชาวค่ายบางระจันไม่สามัค คีกันไม่มีทางใดเลยที่จะต้า นกองทัพพม่าได้นานถึง ๕ เดือน ถ้าไม่สามัคคีกันย่อมเป็นไป ไม่ได้ที่จะชนะกองทัพพม่าถึ ง ๗ ครั้งติดต่อกัน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีกองทัพใดเ ข้าช่วยเหลือในการรบที่ค่าย บางระจัน ชัยชนะที่ผ่านมาย่อมไม่ใช่เ รื่องบังเอิญ ให้เราได้ใคร่ครวญว่าได้ทำใ ห้หมู่คณะของเรามีความสามัค คีกันบ้างไหม
ในปัจจุบันมีการสร้างอนุสาว รีย์วีรชนค่ายบางระจันในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ โดยกรมศิลปากรสร้างอนุสาวรี ย์ไว้ตรงกันข้ามวัดโพธิ์เก้ าต้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงเสด็จพระราชดำเนินมาในวโ รกาสเปิดอนุสาวรีย์วีรชนค่า ยบางระจันเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ทรงมีพระราชดำรัสไว้จึงขออั ญเชิญพระราชดำรัสมาลงไว้ ณ ที่นี้
วีรกรรมในครั้งนั้นเป็นของผ ู้ที่รักแผ่นดินไทย เป็นสิ่งที่ทำให้คนไทยทั้งม วล ทั้งในอดีตและปัจจุบันมีกำล ังใจและเตือนสติให้มีความสา มัคคีและรักษาจิตใจให้เข้มแ ข็ง เพื่อรักษาประเทศไทยให้ตนเอ งและเพื่อความมั่นคงของแผ่น ดิน.....
ที่ฐานของอนุสาวรีย์มีคำจาร ึกไว้ว่า
"สิงห์บุรีนี่นี้ นามใด สิงห์แห่งต้นตระกูลไทย แน่แท้ ต้นตระกูล ณ กาลไหน วานบอก หน่อยเพื่อน ครั้งพม่ามาล้อมแล้ว ทั่วท้องบางระจัน "
หลังจากพม่าตีค่ายบางระจันแ ตกแล้วก็เคลื่อนทัพเข้าล้อม กรุงศรีอยุธยา และสามารถตีกรุงศรีอยุธยาแต กอีกเป็นครั้งที่ ๒ ในพ.ศ. ๒๓๑๐ ไทยได้เสียกรุงศรีอยุธยาแก่ พม่า สมเด็จพระเจ้าเอกทัศเสด็จหน ีไปหลบซ่อนตัวและอดอาหารอยู ่ประมาณ ๑๐ วันพม่าจับตัวได้ นำไปไว้ที่ค่ายโพธิ์สามต้น และเสด็จสวรรคตที่นั่น พม่ายึดกรุงศรีอยุธยาไว้ได้ ประมาณ ๘ เดือน
รวมเรื่องราวที่เกิดในอดีตท ุกเดือนเพื่อเป็นข้อมูลแก่ผ ู้สนใจศึกษา ค้นคว้า
โดย... พระมหาบุญโฮม ปริปุณฺณสีโล (ไชยฤทธิ์) วัดท่าไทร จ.สุราษฎร์ธานี
เครดิต: คนไทยสนับสนุนกองทัพไทยในกา รปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์
พ.ศ ๒๓๐๘ เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราช
สมเด็จพระเจ้าเอกทัศมิได้ทร
ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๓๐๒ พระเจ้าอลองพญามังลอง และมังระราชบุตร ยกกองทัพมาตีเมืองทวาย มะริด และตะนาวศรีซื่งเป็นของไทยใ
ครั้งนั้นบรรดาข้าราชการและ
ถึงกระนั้นก็ตามกองทัพไทยก็
พม่าสามารถยกเข้าถึงชานกรุง
พระเจ้ามังละเห็นว่าครั้งที
สมเด็จพระเจ้าเอกทัศโปรดให้
ในระยะแรกที่ฝ่ายไทยได้ทราบ
ตำราพิชัยสงครามโบราณ มักจะกล่าวไว้ในบทที่ว่าถึง
การตั้งรับของกองทัพไทยที่ว
ขั้นแรก ให้เกณฑ์ทหารออกไปรักษาด่าน
ดังนั้นกองทัพไทยที่ไปอยู่อ
ในขณะที่กองทัพพม่ากำลังตั้
เป็นวีรกรรมของพลเมืองธรรมด
เหตุการณ์อันเป็นวีรกรรมที่
ในเดือน ๓ ปีระกา พ.ศ. ๒๓๐๘ พวกชาวเมืองวิเศษชัยชาญ เมืองสิงห์ เมืองสรรค์ และชาวบ้านใกล้เคียง พากันคบคิดอุบายเพื่อล่อลวง
ต่อมานายแท่นและผู้มีชื่ออื
ประวัติศาสตร์การรบทั้ง ๘ ครั้ง
การรบครั้งที่ ๑ ทหารพม่าที่เมืองวิเศษชัยชา
การรบครั้งที่ ๒ เนเมียวสีหบดีจึงแต่งให้งาจ
การรบครั้งที่ ๓ เมื่อกองทัพพม่าต้องแตกพ่าย
การรบครั้งที่ ๔ การที่พม่าแพ้ไทยหลายครั้งเ
การรบครั้งที่ ๕ พม่าเว้นระยะไม่ยกมาตีค่ายบ
การรบครั้งที่ ๖ นายทัพพม่าครั้งที่ ๖ นี้คือ จิกแก ปลัดเมืองทวาย คุมพล ๑๐๐ เศษ ฝ่ายไทยมีชัยชนะอีกเช่นเคย
การรบครั้งที่ ๗ เนเมียวสีหบดีได้แต่งกองทัพ
การรบครั้งที่ ๘ การที่พม่าส่งกองทัพมาปราบค
(เป็นที่น่าสังเกตุว่าการเค
วันหนึ่งนายทองเหม็นดื่มสุร
ทัพชาวบ้านบางระจันเมื่อเสี
ชาวค่ายบางระจันเห็นว่าตนเส
เมื่อขาดที่พึ่งชาวบ้านบางร
รายชื่อวีรชนที่ปรากฏในประว
1.พระอาจารย์ธรรมโชติ เดิมอยู่วัดเขานางบวช แล้วมาอยู่วัดโพธิ์เก้าต้น มีความรู้ ทางวิชาอาคม เป็นที่พึ่งทางใจแก่ชาวค่าย
2.นายแท่น เป็นชาวบ้านสีบัวทอง ถืออาวุธสั้น ถูกปืนของพม่าที่เข่าใน การรบครั้งที่ 4 เสียชีวิตเมื่อการรบครั้งสุ
3.นายอิน เป็นชาวบ้านสีบัวทอง
4.นายเมือง เป็นชาวบ้านสีบัวทอง
5.นายโชติ เป็นชาวบ้านสีบัวทอง ถืออาวุธสั้น
6.นายดอก เป็นชาวบ้านกลับ
7.นายทองแก้ว เป็นชาวบ้านโพทะเล
8.นายจัน หนวดเขี้ยว เก่งทางใช้ดาบ เสียชีวิตในการรบครั้งที่ 8
9.นายทอง แสงใหญ่
10.นายทองเหม็น ขี่กระบือเข้าสู้รบกับพม่า ตกในวงล้อมถูกพม่าตีตายใน การรบครั้งที่ 8
11.ขุนสรรค์ มีฝีมือเข้มแข็งมักถือปืนเป
12.พันเรือง
เหตุการณ์ในระยะเวลา ๕ เดือนที่ชาวบ้านบางระจันและ
แม้ชาวบ้านบางระจันจะพ่ายแพ
แม้แต่ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภา
เป็นเรื่องที่พิสูจน์คำกล่า
ในปัจจุบันมีการสร้างอนุสาว
วีรกรรมในครั้งนั้นเป็นของผ
ที่ฐานของอนุสาวรีย์มีคำจาร
"สิงห์บุรีนี่นี้ นามใด สิงห์แห่งต้นตระกูลไทย แน่แท้ ต้นตระกูล ณ กาลไหน วานบอก หน่อยเพื่อน ครั้งพม่ามาล้อมแล้ว ทั่วท้องบางระจัน "
หลังจากพม่าตีค่ายบางระจันแ
รวมเรื่องราวที่เกิดในอดีตท
โดย... พระมหาบุญโฮม ปริปุณฺณสีโล (ไชยฤทธิ์) วัดท่าไทร จ.สุราษฎร์ธานี
เครดิต: คนไทยสนับสนุนกองทัพไทยในกา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น