วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อนุสาวรีย์วีรไทย ความกล้าหาญของทหารไทยในสงครามโลกครั้งที่2


อนุสาวรีย์วีรไทย ความกล้าหาญของทหารไทยในสงครามโลกครั้งที่2

“อนุสาวรีย์วีรไทย” หรือจ่าดำ,พ่อจ่าดำตั้งอยู่ภายในค่ายวชิราวุธ(กองทัพภาคที่4) ถนนราชดำเนิน เป็นอนุสาวรีย์ที่หล่อด้วยทองแดงรมดำ เป็นรูปทหารเตรียมรบสองมือจับปืนติดดาบเตรียมแทง ขนาดเท่าครึ่งของคนจริง หันหน้าไปทางทิศเหนือ สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับยุวชนทหารและทหารไทยที่เสียชีวิตจากการรบกับทหารญี่ปุ่นใน “สงครามมหาเอเซียบูรพา”เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 เป็นการรำลึกถึงวีรกรรมของเหล่าบรรดาทหารหาญที่พลีชีพ ต่อสู้ข้าศึก เพื่อปกป้องมาตุภูมิ ชาวนครศรีธรรมราชให้ความเคารพนับถือองค์พ่อจ่าดำเป็นอย่างมากจะมีการมาบนบานศาลกล่าวต่อองค์พ่อจ่าดำเป็นประจำ และทุกๆวันอังคารและวันเสาร์ก็จะพบเห็นผู้คนมาสักการะเพื่อเป็นการแก้บนหลังได้รับสิ่งที่ขอแล้ว

ในสงครามโลกครั้งที่2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484 เหตุการณ์การสู้รบในวันนั้น กองทัพไทยต้องสูญเสียกำลังทหาร และยุวชนทหารช่วยรบในจังหวัดปัตตานี สงขลา สุราษฎร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และนครศรีธรรมราช รวมกว่า 100 นาย ดังปรากฏนามจารึกไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์ทั้ง 6 ด้านอนุสาวรีย์จ่าดำ หรืออนุสาวรีย์วีรไทย ยังยืนตระหง่านบนจุดที่ได้สู้รบปกป้องปฐพีไทยสืบมา

เมื่อเช้าตรู่วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2488 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับญี่ปุ่นที่โจมตีฐานทัพเรือเพิร์ลฮาเบอร์ของสหรัฐอเมริกา ในประเทศไทย ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกพร้อมกันที่สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช และปราจีนบุรี โดยที่ฝ่ายไทยไม่คาดคิด

จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นที่ตั้งกองกำลังสำคัญของภาคใต้ คือมณฑลทหารบกที่ 6 ในเวลานั้นมีพลตรีหลวงเสนาณรงค์เป็นผู้บัญชาการมณฑล เช้าวันเกิดเหตุ ได้รับแจ้งข่าวจากนายไปรษณีย์ นครศรีธรรมราชว่า ญี่ปุ่นได้ส่งเรือรบประมาณ 15 ลำ มาลอยลำในอ่าวสงขลา และได้ยกพลขึ้นบกที่เมืองสงขลา พลตรีหลวงเสนาณรงค์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 จึงสั่งการรับศึกและสั่งให้เตรียมกำลังเคลื่อนย้ายไปสนับสนุนกองทัพสงขลาโดยด่วน ขณะเตรียมการอยู่นั้น ก็ได้รับแจ้งจากพลทหารว่า ญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่บ้านท่าแพ ตำบลปากพูน ผู้บัญชาการมณฑลจึงสั่งการให้ทุกคนทำการต่อสู่เต็มกำลัง โดยความมุ่งหมายที่จะมิให้กองทหารญี่ปุ่นเข้ายึดโรงทหารได้เป็นอันขาด

การสู้รบระหว่างทหารไทย ยุวชนทหาร กับทหารญี่ปุ่นเป็นไปในลักษณะประจัญหน้า ผบ.มณฑล ได้สั่งการให้เปิดคลังแสงและจ่ายอาวุธปืนเล็ก ปืนกล และปืนประสุนให้แก่ทุกคนที่ยังไม่มีอาวุธประจำกาย และประกาศให้ทุกคนทำการสู้อย่างเต็มสติกำลัง โดยความมุ่งหมายที่จะมิให้กองทหารญี่ปุ่นเข้ายึดโรงทหารได้เป็นอันขาด ผู้ที่ไม่มีผู้บังคับบัญชาแน่นอน ก็ให้เข้าสมทบกับหน่วยใดหน่วยหนึ่งซึ่งประจำอยู่ตามแนวต่างๆ ในหน่วยร.17 พอคำสั่งด้วยวาจาไม่ว่าจะเป็นคำสั่งประกาศขาดคำลง ผู้รับคำสั่งทุกคนทุกหมู่ทุกเหล่าได้รีบลงมือปฏิบัติตามโดยทันที โดยมิได้มีการสะทกสะท้านหวาดกลัว หรือแสดงอาการตื่นเต้นลังเลแม้แต่น้อย

เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นได้ของร้องรัฐบาลไทยให้ทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทยเพื่อไปโจมตีพม่า และมลายูของอังกฤษ และขอให้ระงับการ ต่อต้านของคนไทยเสีย คณะรัฐมนตรีโดยมี จอมพลแปลกพิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ก็อนุโลมตามความต้องการของญี่ปุ่น เพื่อรักษาชีวิตและเลือดเนื้อของคนไทย

เวลาประมาณ 11.00 น. เศษ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 ได้รับสำเนาโทรเลขคำสั่งให้ยุติการรบ การต่อสู้ระหว่างทหารไทยกับทหารญี่ปุ่นจึงสงบลง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 สั่งให้นำกำลัง ยุวชนทหารกลับ และติดต่อให้ญี่ปุ่นส่งผู้แทนมาเจรจา เพื่อตกลงกันในรายละเอียด ผลการเจรจายุติการรบ โดยสรุป มีดังนี้

1. ญี่ปุ่นขอให้ถอนทหารไทยจากที่ตั้งปกติไปให้พ้นแนวคลองสะพานราเมศวร์ ให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 3 ชั่วโมง เพราะญี่ปุ่นต้องการใช้สนามบินโดยด่วน
2.ในบริเวณตัวเมืองนครศรีธรรมราช โดยอาศัยตาม โรงเรียน วัด และบ้านพักข้าราชการเป็นต้น
3. ฝ่ายไทยขอขนอาวุธและสัมภาระติดตัวไปด้วย ยกเว้นอาวุธหนัก กระสุน และวัตถุระเบิด และน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วน ตลอดจนเครื่องบิน แต่ฝ่ายญี่ปุ่นไม่ยินยอม
4. ฝ่ายญี่ปุ่นแสดงความเสียใจที่ได้มีการสู้รบกัน มีความรู้สึกเห็นใจ และยกย่องชมเชยวีรกรรมของทหารไทย

ฝ่ายไทยสูยเสียชีวิต 38 คน เป็นนายทหารสัญญาบัตร 3 คน นายทหาร 3 คน พลทหาร 32 คน ฝ่ายญี่ปุ่นไม่ทราบจำนวน ภายหลังเสร็จสิ้นสงครามมหาเชียบูรพา ประชาชนและข้าราชการได้ร่วมใจกันสร้างอนุสาวรีย์ วีรไทย(พ่อจ่าดำ) เป็นรูปทหารถือดาบปลายปืนในท่าออกศึก ซึ่งออกแบบปั้นโดยนายสนั่น ศิลากรณ์ ข้าราชการกรมศิลปากรในสมัยนั้น และได้ประดิษฐานในค่าย วชิราวุธเมื่อ พ.ศ.2492

ยีลาปัน สะพานร้าง อนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่2


ยีลาปัน สะพานร้าง อนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่2

สะพานยีลาปัน เป็นสะพานข้ามแม่น้ำปัตตานี บนทางหลวงท้องถิ่น เลขที่ 410 บ้านยีลาปัน ตำบลตะลิ่งชัน อำเภบันนังสตา จังหวัดยะลา มีความกว้าง 6 เมตร ยาวประมาณ 50 เมตร พื้นสะพานเป็นเหล็กแบบรังผึ้ง ตัวโครงสร้างทั้งหมดเป็นเหล็กกล้าล้วนๆ สร้างโดยกองทัพญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ราวๆ ปี พ.ศ. 2485 หลังจากที่กองทัพญี่ปุ่น ยกพลขึ้นบกแถวชายฝั่งภาคใต้และยึดครองแหลมมาลายู หรือประเทศสหพันธรัฐมาเลเชียในปัจจุบัน

ในยุค จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย รัฐบาลจำต้องยินยอมจับมือกับกองทัพญี่ปุ่นเพื่อแลกกับการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งทรงอนุภาพมากที่สุดในยุคนั้น โดยญี่ปุ่นต้องการใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน เพื่อขนยุทโธปกรณ์และกำลังพล ไปโจมตีประเทศพม่า และเพื่อยึดครองอินเดียอนานิคมของอังกฤษ ซึ่งในสมัยนั้น การคมนาคมยังไม่สะดวกนัก โดยเฉพาะสะพานข้ามแม่น้ำปัตตานีตรงจุดนี้ เป็นเพียงสะพานไม้ขอน ซึ่งไม่สามารถขนส่ง ลำเลียงยุทโธปกรณ์ที่มีน้ำหนักจำนวนมากผ่านไปได้ กองทัพญี่ปุ่นได้ดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่นั้นมา รถทุกคันที่เดินทางไปอำเภอเบตง จังหวัดยะลา จึงต้องวิ่งผ่านสะพานแห่งนี้ทุกคัน จนกระทั้งในปี 2538 แขวงการทางยะลา ก็ได้สร้างสะพานคอนกรีตขึ้นมาทดแทนเนื่องจากสะพานยีลาปัน แคบไม่สะดวกในการสัญจร โดยในช่วงนั้นมีข่าวลือว่า ญี่ปุ่นจะเอาสะพานคืน จึงมีการสร้างใหม่เพื่อนทดแทนของเดิม สะพานยีลาปัน จึงปิดตัวเองลง และกลายเป็นอนุสาวรีย์แห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อเตือนใจให้ชาวยะลาและชาวโลกได้รับทราบถึงความโหดร้ายของสงคราม


วันนี้ สะพานยีลาปัน ยังคงอยู่ ยังคงตั้งตระหง่านท้าทายสายลม แสงแดด และสถานการณ์ไฟใต้ วันหน้าหากเหตุการณ์สงบ หากบ้านนี้เมืองนี้หันหน้าเข้าหากัน เราคงได้เห็นกรุ๊ปนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ชาวอังกฤษ ได้มายืนถ่ายรูป มายืนรำลึก ซึมซับ ถึงอดีตกาล ที่ครั้งหนึ่งบรรพบุรุษเขาได้มาใช้ชีวิต เป็นแรมปีก็ได้



ขอบคุณข้อมูลจาก oknation.net/blog/localbetong

สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำพิธีหลั่งน้ำทักษิโณทกประกาศอิสรภาพจากหงสาวดี


สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำพิธีหลั่งน้ำทักษิโณทกประกาศอิสรภาพจากหงสาวดี

เมื่อ พ.ศ. 2126 พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ยกทัพไปตีเมืองอังวะ และเกณฑ์ทัพไทยขึ้นไปด้วยสมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดเกล้าให้สมเด็จพระนเรศวรคุมทัพขึ้นไปช่วย แต่ยกไปไม่ทันตามกำหนดเป็นเหตุให้พระเจ้านันทบุเรงเกิดความระแวงจึงรับสั่งให้พระมหาอุปราชาหาทางกำจัดสมเด็จพระนเรศวร

เมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จถึงเมืองแครง ทรงพักทัพอยู่
ใกล้วัดของพระมหาเถรคันฉ่องสมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จไปนมัสการพระมหาเถรคันฉ่อง พระมหาเถรคันฉ่องจึงได้ทูลเรื่องความลับที่พระมหาอุปราชาให้พระยาเกียรติ พระยาราม หาทาง
กำจัดพระองค์

เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงทราบ ก็ทรงพิโรธมากที่พระเจ้านันทบุเรงคิดทำแบบนี้ สมเด็จพระนเรศวรจึงโปรดให้แม่ทัพนายกองมาประชุม และให้นิมนต์พระมหาเถรคันฉ่องพร้อมคณะสงฆ์ มานั่งเป็นสักขีพยานที่พลับพลา จากนั้นพระองค์ได้ทรงหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ำเต้าทองคำ) ประกาศแก่เทพยดาฟ้าดิน ประกาศอิสรภาพไม่ยอมขึ้นกับหงสาวดีอีกต่อไป ทรงตรัสว่า

"ขออัญเชิญเทพยดา อันมีมหิทธิฤทธิ์ ทิพยจักขุ ทิพยโสต จงลงมาเป็นทิพย์พยาน ด้วยพระเจ้าหงสาวดีคิดไม่ซื่อ ประพฤติพาลทุจริต เสียสามัคคีรสธรรม นับแต่บัดนี้ กรุงพระมหานครศรีอโยธยาและหงสาวดี หาได้เป็นสุวรรณปฐพีเดียวกันเฉกเช่นกาลก่อน ขาดกันแต่นี้ไป ตราบชั่วกัลปาวสาน"

จากนั้นพระองค์ได้ตรัสถามชาวเมืองแครงว่าจะเข้าข้างฝ่ายใด พวกมอญทั้งปวงต่างเข้ากับฝ่ายไทย สมเด็จพระนเรศวรจึงให้จับเจ้าเมืองกรมการพม่าแล้วเอาเมืองแครงเป็นที่ตั้งประชุมทัพ เมื่อจัดกองทัพเสร็จก็ทรงยกทัพจากเมืองแครงไปยังเมืองหงสาวดีเมื่อวันแรม 3 ค่ำ เดือน 6

วันที่ระลึกในวาระที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาของพม่า


18มกราคม วันกองทัพไทย วันที่ระลึกในวาระที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาของพม่า
วันกองทัพไทย เป็นวันที่ระลึกในวาระที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาของพม่า โดยถือเอาวันที่ 18 มกราคม ของทุกปีเป็นวันกองทัพไทย ตามการคำนวณจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ที่ระบุว่า พระองค์กระทำยุทธหัตถี ในวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง จ.ศ. 954 คำนวณได้ ตรงกับวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2135

ในปี พ.ศ. 2135 พระเจ้าหงสาวดี นันทบุเรง โปรดให้พระมหาอุปราชา นำกองทัพทหารสองแสนสี่หมื่นคน มาตีกรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวร ทรงทราบว่า พม่าจะยกทัพใหญ่มาตี จึงทรงเตรียมไพร่พล มีกำลังหนึ่งแสนคนเดินทางออกจากบ้านป่าโมกไปสุพรรณบุรี ข้ามน้ำตรงท่าท้าวอู่ทอง และตั้งค่ายหลวงบริเวณหนองสาหร่าย

เช้าของวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเครื่องพิชัยยุทธ สมเด็จพระนเรศวรทรงช้าง นามว่า เจ้าพระยาไชยานุภาพ ส่วนพระสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงช้างนามว่า เจ้าพระยาปราบไตรจักร ช้างทรงของทั้งสองพระองค์นั้นเป็นช้างชนะงา คือช้างมีงาที่ได้รับการฝึกให้รู้จักการต่อสู้มาแล้วหรือเคยผ่านสงครามชนช้าง ชนะช้างตัวอื่นมาแล้ว ซึ่งเป็นช้างที่กำลังตกมัน ในระหว่างการรบจึงวิ่งไล่ตามพม่าหลงเข้าไปในแดนพม่า มีเพียงทหารรักษาพระองค์และจาตุรงค์บาทเท่านั้นที่ติดตามไปทัน

สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงพระคชสารอยู่ในร่มไม้กับเหล่าเท้าพระยา จึงทราบได้ว่าช้างทรงของสองพระองค์หลงถลำเข้ามาถึงกลางกองทัพ และตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกแล้ว แต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบของสมเด็จพระนเรศวร ทรงเห็นว่าเป็นการเสียเปรียบข้าศึกจึงไสช้างเข้าไปใกล้ แล้วตรัสถามด้วยคุ้นเคยมาก่อนแต่วัยเยาว์ว่า
"พระเจ้าพี่เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด ภายหน้าไปไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่จะได้ยุทธหัตถีแล้ว"

พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไสช้างนามว่า พลายพัทธกอเข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาเข้าที่อังสะขวา สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง

ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถทรงฟันเจ้าเมืองจาปะโรเสียชีวิตเช่นกัน ทหารพม่าเห็นว่าแพ้แน่แล้ว จึงใช้ปืนระดมยิงใส่สมเด็จพระนเรศวรได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้น ทัพหลวงไทยตามมาช่วยทัน จึงรับทั้งสองพระองค์กลับพระนคร พม่าจึงยกทัพกลับกรุงหงสาวดีไป นับแต่นั้นมาก็ไม่มีกองทัพใดกล้ายกมากล้ำกรายกรุงศรีอยุธยาอีกเป็นระยะเวลาอีกยาวนาน

เดิมนั้นกระทรวงกลาโหมได้กำหนดให้วันที่ 8 เมษายนของทุกปีเป็นวันกองทัพไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2523 ได้เปลี่ยนโดยให้ถือเอาวันที่ 25 มกราคม เป็นวันกองทัพไทย ตามมติของคณะรัฐมนตรีในสมัยนั้น ภายหลังได้มีนักประวัติศาสตร์หลายท่านได้ตรวจสอบ และพบว่าวันที่ทรงกระทำยุทธหัตถีนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ตรงกับวันที่ 25 มกราคม แต่น่าจะตรงกับวันที่ 18 มกราคม ปีดังกล่าว ทางราชการยังคงถือเอาวันที่ 25 มกราคม เป็นวันกองทัพไทยต่อไป จนกระทั่งวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2549 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ให้เปลี่ยนแปลงกำหนดวันกองทัพไทยจากวันที่ 25 มกราคม ของทุกปีเป็นวันที่ 18 มกราคม ของทุกปี และอนุมัติให้เป็นวันหยุดราชการของกระทรวงกลาโหมตามหลักการเดิม

พิธีโล้ชิงช้า ในพระราชพิธีตรียัมปวาย ความตื่นเต้นหวาดเสียวของคนในอดีต


พิธีโล้ชิงช้า ในพระราชพิธีตรียัมปวาย ความตื่นเต้นหวาดเสียวของคนในอดีต

พิธีโล้ชิงช้า เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย เป็นการต้อนรับพระอิศวรซึ่งเป็นหนึ่งในสามเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อกันว่าพระอิศวรจะเสด็จลงสู่โลกในวันขึ้นเจ็ดค่ำเดือนยี่ วันนั้นจะมีการแห่พระเป็นเจ้าไปถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัว

เมื่อพระยายืนชิงช้า ไปถึงเสาชิงช้า ก็จะเข้าไปนั่งในโรงราชพิธี จากนั้นให้ผู้ที่จะโล้ชิงช้าขึ้นชิงช้าทีละ 4 คน(โล้ 3 กระดาน รวมเป็น 12 คน) โดยมีเชือกที่ถือยึดไว้แน่นทั้งสี่ด้าน สองคนหันหน้าเข้าหากัน พนมมืออยู่กลางกระดาน มือสอดเชือกไว้ อีกสองคนอยู่หัวท้ายมีเชือกจับมั่นคง ถีบโล้ชิงช้าเพื่อฉวยเงินรางวัล 1 ตำลึง

ส่วนการที่จะฉวยเอาเงินรางวัลได้นั้น คนที่อยู่หัวกระดานเป็นคนฉวย โดยเงินนั้นผูกแขวนไว้กับฉัตรสูงที่ปักไว้แล้วมีคันทวยยื่นออกไประยะห่างพอที่จะโล้ชิงช้ามาถึงได้ คนดูที่อยู่ข้างล่างก็ "ตีปีก" เชียร์กันอย่างสนุกสนาน

การโล้ชิงช้านี้สำคัญอยู่ที่คนท้าย คือจะต้องเล่นตลก คือพอคนหน้าจะคาบถุงเงิน คนท้ายจะทำกระดานโล้ ให้เบี่ยงไปเสียบ้าง ทำกระดานโล้ให้เลยถุงเงินเสียบ้าง จึงจะเรียกเสียงฮา จากคนดูได้

พราหมณ์โล้ชิงช้าแล้วก็ตกลงมาตายทุกปีเป็นที่น่าหวาดเสียวมาก แต่พวกเขาถือว่าได้บุญมากก็เลยไม่ค่อยกลัวตายกัน
ต่อมาก็ทอนเสาให้สั้นลงก็ยังตกลงมาตายอีก ก็เลยต้องยกเลิกไปในที่สุด สำหรับเรื่องเล่าปากต่อปากว่า ถ้าใครโล้ชิงช้าแล้วตกลงมาจะถูก "ฝัง" ไว้ที่ใต้ชิงช้านั้น เรื่องนี้ไม่เคยปรากฏว่ามีการตกหรือได้ฝังใครเลย และไม่มีตำราเล่มไหนบอกไว้ทั้งนั้น คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดๆ ติดมาจากการฝังหลักเมืองมากกว่า


พิธีโล้ชิงช้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่1 และได้ยกเลิกไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ปัจจุบันการประกอบพระราชพิธีนี้จะกระทำเป็นการภายในเทวสถานเท่านั้น

อีอยู่ นักโทษประหาร เรื่องจริงของนักโทษประหารในสมัยรัชกาลที่ 5


อีอยู่ นักโทษประหาร เรื่องจริงของนักโทษประหารในสมัยรัชกาลที่ 5

“ ฆ่าฉันเสียเร็วๆ ฆ่าฉันเสียเร็วๆ ” เสียงตะโกนจากนักโทษประหารซึ่งเป็นหญิง เพชฌฆาตหกคนยังคงร่ายรำดาบ ถอยหน้าถอยหลังอยู่เบื้องหลังนักโทษอีกครู่ ก่อนที่เพชฌฆาตมือหนึ่งจะวิ่งเข้าฟันคออย่างแรง จนศีรษะขาด เลือดพุ่งกระฉูด ผู้คนที่มุงดูการประหารจึงค่อยเริ่ม แยกย้ายกันกลับไป เสียงพึมพำดังจับความได้ว่า ต่างก็พอใจที่ผู้ตายได้รับกรรมที่กระทำไว้แล้ว แม้แต่ในหมู่ญาติพี่น้องของหล่อนเอง!

เพชฌฆาตยังคงทำงานต่อไปด้วยการตัดข้อเท้าซึ่งมีโซ่ตรวนพันธนาการไว้ และตัดศพออกเป็นชิ้น แล่เนื้อออกจากกระดูก ทิ้งตับไตไส้พุงไว้เป็นทานแก่แร้งกา ส่วนศีรษะเอาไปเสียบไม้ไผ่ปักประจานไว้ให้มองเห็นได้แต่ไกล เธอเป็นใครทำผิดอะไรไว้จึงต้องรับโทษถึงเพียงนี้..?
................
ย้อนหลังไปราวเดือนเศษ ที่บ้านของพระบรรฦาสิงหนาท ภรรยาคืออำแดงอยู่ ลักลอบเป็นชู้กับทาสในเรือนชื่อ ไฮ้ มั่วสุมกันอยู่ถึงสองปีเศษโดยตัวสามีไม่รู้เรื่อง ซึ่งก็คงยังไม่เป็นเรื่องเป็นราวอะไร ถ้าไม่เป็นเพราะอ้ายไฮ้เอง เกิดไปลักลอบได้เสียกับนางทาสอีกคนหนึ่งชื่อ เกลี้ยง หลังจากทั้งคู่สมสู่กันได้สามเดือน ความเรื่องของอำแดงอยู่เป็นชู้กับอ้ายไฮ้ก็เกิดแตกขึ้นมา..

วันนั้นพระบรรฦาฯบังเอินกลับบ้านผิดเวลา จึงจับได้คาเตียง ก็เลยทำโทษอ้ายไฮ้ด้วยการโบย 50ที แล้วล่ามโซ่ไว้ที่ครัวไฟ แต่พระบรรฦาจะทำอะไรอำแดงอยู่บ้าง อันนี้ไม่ได้มีการบันทึก ไว้ ผ่านไปห้าวัน อำแดงอยู่ค่อยๆสืบเสาะหาว่าใครไปรายงานคุณพระผู้เป็นสามี ก็สงสัยว่า อีเกลี้ยงนี่แหละที่น่าจะเอาความไปบอกสามีตนแน่ ประจวบกับวันนั้นกินเหล้า เข้าไปเมาจัดด้วย จึงเรียกนางทาสคนนี้เข้ามาถาม แต่อีเกลี้ยงไม่ยอมรับ นางอยู่จึงเอาไม้แสมตีอีเกลี้ยงเข้าไปหลายที ฐานสงสัยแล้วไม่ยอมรับ

คืนนั้น อีเกลี้ยงไม่รู้ว่าคิดอะไรเหมือนกัน แต่คงไม่พ้นเรื่องชู้รักดันมีรักซ้อนกับเมียนาย แอบเข้าไปที่ระเบียงครัวซึ่งอ้ายไฮ้โดนล่ามโซ่นอนหลับอยู่ จัดการบีบหมับเข้าที่กล่องดวงใจของอ้ายไฮ้อย่างแรงจนตื่น เช้าขึ้นอ้ายไฮ้ก็เลยสำออยไปฟ้องอำแดงอยู่ อำแดงอยู่จึงเรียกอีเกลี้ยงมาถามอีก ว่าทำไมไปบีบของสำคัญของอ้ายไฮ้ คราวนี้เจ้าตัวปฏิเสธเรื่องไปบีบของลับอ้ายไฮ้ แต่ดัน กลับเล่าเรื่องที่ตัวเองได้เสียกับอ้ายไฮ้แทน

อำแดงอยู่ เต้นผางสั่งตีตรวนอีเกลี้ยงทันที แล้วเอาไม้ไผ่ขนาดสามนิ้วยาวศอกเศษ ตีอีเกลี้ยงอีกราวสี่ห้าที ทำแบบนี้ตลอดมาหลายวัน จนวันหนึ่ง อำแดงอยู่ซึ่งล่อเหล้ามาตั้งแต่เช้าแล้ว ก็ใช้ไม้แสมตีอีเกลี้ยงอีก พอตกบ่ายก็แก้ตรวน แล้วสั่งให้ไปหุงข้าว ขณะที่อีเกลี้ยงกำลังนั่งยองๆหุงข้าวอยู่ อำแดงอยู่เข้ามาข้างหลัง ถีบอีเกลี้ยงล้มลงแล้วกระชากผ้าถุงของนางทาสออก เอาไม้แสมที่กำลังติดไฟแดงๆ ทิ่มอวัยวะเพศของนางทาส สองสามที ตกบ่ายราวสี่โมงเศษ ก็เรียกทาสชายหญิงคนอื่นขึ้นมาจับอีเกลี้ยงขึงพรืด จุดไม้ขีดไฟเผาขนที่ลับของอีเกลี้ยงซ้ำอีก

ตอนเช้าของวันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2424 ขณะที่อีเกลี้ยงนางทาสวัย 57 เดินจะลงบันไดไปอาบน้ำ นางอยู่ก็เอาเท้าถีบเธอตกบันได แขนซ้ายหัก แล้วสั่งทาสให้ฉุดกระชากอีเกลี้ยงขึ้นไปบนชานเรือนอีก จนราวสามโมงเช้าเศษของวันนั้น อีเกลี้ยงซึ่งสุดจะทนกับความเจ็บปวดจากการทรมาน จึงขาดใจตาย

เรื่องนี้ พระบรรฦาฯ ทราบเพียงว่าอีเกลี้ยงตายเพราะเป็นไข้ประจุบันเท่านั้น จึงให้อำแดงอยู่บัญชาการทาสอื่นห่อศพให้เรียบร้อย แล้วหามไปให้สัปเหร่อฝัง ตอนแรกทาสที่นำศพมาก็ไม่ยอมแก้ผ้าห่อศพ สัปเหร่อเลยไม่ยอมฝัง ในที่สุดพวกทาสก็ต้องยอมให้สัปเหร่อ ดูศพก่อน แต่พอได้ดูศพแล้ว จรรยาบรรณสัปเหร่อบอกว่า ไม่ยอมให้ฝัง !

ปรากฏว่ามีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อหนูไปแจ้งความ จึงเกิดการชันสูตรศพขึ้นก็พบว่า “ ศพอีเกลี้ยงนั้นกระหม่อมยุบกว้าง 2 นิ้ว หน้าบวมช้ำดำเขียว หูข้างซ้ายช้ำบวมมีเลือดไหลออกมาจากหู ยังเป็นคราบติดอยู่ ต้นแขนริมศอกขวา บวมช้ำ และกระดูกหัก ต้นแขนซ้ายบวมช้ำกระดูกหัก อกบวมช้ำ โตกลมหนึ่งนิ้ว สะโพกข้างขวาบวมช้ำดำเขียวเต็มทั้งสะโพก นอกจากนั้นมีแผลที่เกิดจากการตีด้วยไม้รวมเก้าแผล ”

หลังการสอบสวน อำแดงอยู่โดนมาตรการยึดทรัพย์ทั้งหมด และมีพระบรมราชโองการให้ประหาร แต่ก่อนประหารต้องลงโทษเตือนวิญญาณให้จดจำไปถึงชาติหน้า ด้วยการเฆี่ยน 90ทีเสีย ก่อน จึงจะประหาร คำตัดสินเกี่ยวกับคดีนางอยู่และผู้เกี่ยวข้องนี้ เมื่อนำทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นด้วยแต่ได้ทรงทักท้วงบ้างบางกรณี คือ

ให้เฆี่ยนทาสที่เคยช่วยจับขึงพรืดอีเกลี้ยง ให้อีอยู่ ( เปลี่ยนคำนำหน้าจากอำแดงเพราะทำความผิด ) ทำทารุณ คนละ 60 ที ส่วนทาสคนอื่นที่รู้เห็นเหตุการณ์แล้วไม่ยอมแจ้งทาง การให้เฆี่ยนคนละ 30 ที เรื่องนี้ทรงพิจารณาว่า คนเป็นทาสก็ต้องฟังนาย และเรื่องก็เกิดในทันที จึงให้ภาคทัณฑ์ไว้ เว้นคนที่เอาศพไปฝัง และพยายามปกปิดไม่ให้ตรวจศพ ให้ลงโทษตามที่ว่ามา

อ้ายไฮ้ โดนตัดสินให้เฆี่ยน 50 ที แต่ทรงเห็นว่าความผิดของอ้ายไฮ้คือฐานชู้สาว และก็โดนนายเงินคือพระบรรฦาฯลงโทษไปแล้ว จึงโปรดให้ยกโทษเสีย

ส่วนพระบรรฦาปรับเป็นเงิน 11 ตำลึง กึ่งสลึงเฟื้อง 630 เบี้ยเป็นพิไนยหลวง แต่ในฐานที่รู้อยู่แต่ไม่สนใจ ปกปิดเรื่องศพ เรื่องความร้ายในแผ่นดิน

“ แต่นายหนูผู้มีกตัญญูต่อแผ่นดินมาว่ากล่าวขึ้น จึงได้ทราบเรื่องกัน ” จึงทรงให้เพิ่มโทษปรับพระบรรฦาฯ แล้วนำมาให้เสียแก่นายหนู เป็นเงิน 1 ชั่ง 10 ตำลึงด้วย

วันที่ประหารอีอยู่คือ วันเสาร์ เดือน11 แรม 7 ค่ำ ตรงกับ วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม 2424 เป็นเวลากว่าร้อยปีล่วงมาแล้ว

ต้นเรื่องนั้นมาจากหนังสือราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษ ออกเมื่อกรุงเทพมหานครมีอายุครบ๑๐๐ปี และบันทึกของนาย Carl Bock นักธรรมชาติวิทยาชาวนอร์เวย์ ที่เดินทางเข้ามาสำรวจดินแดนไทยและได้ไปดูการประหารอีอยู่ด้วย

จากหนังสือ หญิงชาวสยาม โดย เอนก นาวิกมูล

ภาพประกอบ:ทาสในสมัยรัชกาลที่5

มารู้จักสายพันธ์ปลาคาร์ฟ เพื่อคนรักปลาตัวจริง

มารู้จักสายพันธ์ปลาคาร์ฟ เพื่อคนรักปลาตัวจริง
   แฟนซีคาร์พ กำเนิดมาจากการกลายพันธุ์ของ Magoi เมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้ว ปัจจุบันมีการผสมและคัดสายพันธุ์จนมีมากกว่า 80 สายพันธุ์ สายพันธุ์หลักๆ Kohaku: ปลา ที่มีลายแดงบนพื้นขาว กล่าวกันว่าคนเลี้ยงปลาคาร์พมักเริ่มต้นด้วยโคฮากุและลงท้ายที่โคฮากุ โคฮากุ ไทโชซันโชกุ และโชว่าซันโชกุ เป็นสายพันธุ์ที่คนนิยมที่สุด เรียกกันว่า Gosanke (Big 3) Taisho Sanshoku: ปลาที่มีแต้มดำบนลายโคฮากุ เพราะเกิดในยุคไทโชของญี่ปุ่น จึงเรียกว่าไทโชซันโชกุ เรียกสั้นๆว่าไทโชซังเก้ หรือซังเก้ Showa Sanshoku: ปลาที่มีลายเป็นเส้นดำบนลายโคฮากุ เกิดในยุคโชว่าจึงเรียกว่าโชว่าซันโชกุ หรือโชว่า Tancho: ตัน โจ ปลาที่มีสีแดงเฉพาะเป็นดวงกลมตรงหัวของปลา ลายที่เหลือเป็นไปตามสายพันธุ์เช่น Tancho Kohaku, Doitsu Tancho Kohaku, Tancho Showa, Tancho Goshiki เป็นต้น Utsuri mono: อุทซูริ ปลาที่มีลายเส้นสีดำบนสีพื้นสีเดียว เช่น Shiro Utsuri (ขาว) Hi Utsuri (แดง) Ki Utsuri (เหลือง) Bekko: ซันเก้ที่ไม่มีแดง Asagi: ทั้งตัวมีสีฟ้าหรือสีคราม รอยต่อระหว่างเกล็ดลายเหมือนตาข่าย เป็นปลาดั้งเดิมของนิชิกิกอย Shusui: อาซากิด๊อยทส์ Doitsu Koromo: โคฮากุที่มีตาข่ายสีฟ้าบนส่วนที่เป็นลายสีแดง Goshiki: แปล ตรงตัวว่า 5 สี มีตาข่ายสีฟ้าบนลายโคฮากุ บางตัวมีตาข่ายเฉพาะส่วนที่เป็นสีขาว สีแดงและสีฟ้าที่เหลื่อมกันทำให้เกิดเป็นสีม่วงส่วนมากตรงบริเวณหัว เกล็ดไม่มันวาว ซึ่งทำให้ต่างจาก Kujyaku Hikari Muji: ปลาสีเดียวที่มีเกล็ดมันวาวเช่น Ogon, Platinum Hikari Moyo: คือ กลุ่มของสายพันธุ์ที่มีลวดลายบนสีพื้นมันวาว ทั้งนี้ยกเว้นลายดำของกลุ่มอุทซูริเช่น Hariwake-ลายสีทองบนสีพื้นแพล็ทตินั่ม, Kikusui-ฮาริวาเก้ด๊อยทส์ สีแดงจะเข้มกว่าฮาริวาเก้, Yamato Nishiki-ซันเก้ที่มีเกล็ดมันวาว, Heisei Nishiki-ซันเก้ด๊อยทส์ที่มีเกล็ดมันวาว, Kujyaku-โงชิกิที่มีเกล็ดมันวาว Hikari Utsuri: มีลายดำของอุทซูริบนสีพื้นมันวาวเช่น Kin Showa, Gin Shiro Utsuri, Kin Ki Utsuri Matsuba: ปลาที่มีสีดำกลางเกล็ด หากผิวมันจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มฮิคาริ หากผิวไม่มัน อยู่ในกลุ่มคาวาริ Kin Ginrin: ปลาที่มีเกล็ดแวววาวระยิบระยับเหมือนโรยด้วยกากเพชร

สยาม ประเทศแรกในเอเชียที่มีรถราง


สยาม ประเทศแรกในเอเชียที่มีรถราง
ตอนที่สร้างถนนเจริญกรุงหรือที่ฝรั่งเรียกกันว่า "นิวโรด (New Road)" เสร็จในปี พ.ศ. 2407 มีผู้นิยมใช้สัญจรไปมามาก ฝรั่งหัวใส 2 คน ชื่อ จอห์น ลอฟตัส เป็นชาวอังกฤษ เข้ามารับราชการ เป็นช่างทำแผนที่กับอันเดรีย ดูเปล ริเตธิเชอเลียว ชาวเดนมาร์ก ซึ่งเข้ามารับราชการ เป็นกัปตันเรือพระที่นั่งเวสาตรี สังกัดกองทัพเรือ ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น พระยาชลยุทธโยธี เห็นว่าถ้าเปิดเดินรถโดยสาร ในถนนสายนี้ ก็จะเป็นธุรกิจที่ดีไม่น้อย และเพื่อให้แน่ใจ จึงทำการสำรวจ หาตัวเลขกันก่อน

วิธีการที่ฝรั่งทั้ง 2 ชาติ เอามาสำรวจนี้ นับว่าเก๋ไก๋ไม่เบา โดยเอาเม็ดมะขามใส่ชามใหญ่วางไว้ตรงกลาง แล้วเอาชามย่อมลงไปหน่อยมาอีก 2 ใบ วางไว้ข้างละใบ เมื่อคนเดินไปทางขวา ก็หยิบเม็ดมะขามใส่ลงไปในชามขวา เมื่อคนเดินไปทางซ้าย ก็หยิบเม็ดมะขามใส่ลงไปในชามซ้าย ทำการสำรวจอยู่แบบนี้อยู่ถึง 3 วัน จึงได้ตัวเลขว่า มีคนขึ้นล่องในนิวโรด วันละเท่าไร ซึ่งคงจะเป็นตัวเลขที่น่าสนใจทีเดียว เขาจึงร่วมกัน ยื่นขอสัปทานเดินรถรางหรือ "แตรมเวย์" (Tramway) คนไทยเรียกว่า "รถแตรม" ในปี พ.ศ. 2430 โดยยื่นรวม 7 สายทั่วกรุง เพื่อกันคนอื่นตามด้วย รัฐบาลได้ให้สัมปทานเป็นเวลา 50 ปี โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องสร้างสายที่ 1 ให้เสร็จภายในเวลา 5 ปี ส่วนอีก 6 สาย ต้องสร้างให้เสร็จในเวลา 7 ปี

รถรางสายแรกเปิดบริการในวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2431 โดยเริ่มต้นจากบางคอแหลม ถนนตก ซึ่งตอนนั้นยังเป็นสวนอยู่ มาตามถนนเจริญกรุง สุดปลายทางที่ศาลหลักเมือง ข้างศาลายุทธนาธิการ หรือกระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน เป็นระยะทาง 6 ไมล์ (ประมาณ 10 - 12 กิโลเมตร) ใช้รถเล็ก 4 ล้อ เทียมด้วยม้า 2 คู่ และมีสถานีเปลี่ยนม้าเป็นระยะ แต่เมื่อคนเต็มคัน ม้าก็ต้องออกแรงลาก จนน้ำลายฟูมปาก ยิ่งตอนขึ้นสะพานบางทีม้าก็ลากไม่ไหว เป็นภาพที่น่าสงสารเป็นอันมาก

ต่อ ๆ มาคนก็ขึ้นรถรางน้อยลงทุกที อาจจะเป็นเพราะคนไทยเรา เป็นคนขี้สงสาร ไม่อยากจะทรมานทารุณม้าก็เป็นได้ อีกทั้งค่ารถราง ในตอนนั้นก็แพงไม่เบา เก็บ 6 อัฐต่อระยะ 3 ไมล์ ส่วนผู้ที่นั่ง 'ผู้ที่นั่งอย่างวิเศษ' หรือชั้นพิเศษ เก็บอีกเท่าตัว เป็น 12 อัฐ ซึ่ง 63 อัฐ เท่ากับ 1 บาท

เมื่อรถรางขาดทุน สองผู้บุกเบิก ก็ไปไม่ไหว ต้องขายกิจการ ให้บริษัท บางกอกแตรมเวย์ ซึ่งเป็นของคนอังกฤษดำเนินการต่อ โดยยังคงใช้ม้า ลากตามเดิม แล้วม้าก็ลากบริษัทรถรางไปไม่ไหวอีกราย ต้องขายต่อในปี พ.ศ. 2435

ผู้ดำเนินกิจการรถรางรายใหม่ เป็นบริษัทของคนเดนมาร์ก ซึ่งได้พัฒนามาใช้ไฟฟ้ารแทนม้าลาก โดยขึงสายไฟเปลือย เหนือรางไปตลอด มีสาแหรกเป็นแท่งเหล็กยากติดบนหลังรถ ขึ้นไปรับกระแสไฟฟ้าจากมาเข้าเครื่อง เมื่อเปิดเดิน เครื่องจะไม่ไอ และแสงพุ่งแปลบออกมาที่หน้ารถ ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า "รถไอ"

กิจการรถรางไฟฟ้าได้รับความนิยม ทำกำไรให้บริษัทมาก ในปี พ.ศ. 2448 เจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคน จึงติดตั้งบริษัทรถรางแข่งกับฝรั่งบ้างในชื่อ บริษัท รถรางไทยทุน จำกัด ได้สัมปทาน 2 สาย คือ สายรอบเมือง และสายดุสิต วิ่งจากยศเส สะพานดำ เสาชิงช้า บางลำภู จนถึงสวนดุสิต ใช้รถแบบเดียวกัน แต่ทาสีแดง เพื่อให้แตกต่างจากของบริษัทฝรั่ง ซึ่งทาสีเหลือง แต่ต่อมา ก็ต้องรวมกันเป็นบริษัทเดียว ทาสีเหลืองคาดแดง จนหมดสัมปทาน ตกมาเป็นของรัฐบาล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2493

ต่อมาเมื่อกรุงเทพฯ เจริญขึ้น มีรถยนต์วิ่งกันขวักไขว่ รถราง ก็กลายเป็นเครื่องกีดขวางการจราจร ถูกยุบลงทีละสายสองสาย จนเลิกเด็ดขาดเมื่อวันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2511 คงเหลือแต่ที่ จังหวัดลพบุรี ซึ่งเปิดใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2499 แต่ต่อมา ก็ต้องเลิกไปอีก ในปี 2506 หลังจากใช้อยู่ 8 ปี ด้วยสาเหตุเดียวกับในกรุงเทพฯ คือกีดขวางการจราจร รถรางไฟฟ้าจึงสูญพันธุ์ไปจากเมืองไทย ส่วนตัวรถปัจจุบัน ได้นำมาใช้ในการท่องเทีี่ยว โดยติดเครื่องยนต์ราก เช่น ในกรุงเทพฯ ก่อนจะเกิดใหม่มาเป็นเป็นรถไฟฟ้าลอยฟ้าในปัจจุบัน

ที่มา allknowledges

ตัดหางปล่อยวัด สำนวนที่มาจากหางไก่ไม่ใช่หางสุนัข



ตัดหางปล่อยวัด สำนวนที่มาจากหางไก่ไม่ใช่หางสุนัข
ตัดหางปล่อยวัด เป็นสำนวนหมายถึง ตัดขาดไม่เกี่ยวข้อง ไม่เอาเป็นธุระอีกต่อไป เช่น เด็กคนนี้ถูกพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัดเพราะประพฤติตัวเกกมะเหรกเกเรไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่

สำนวนนี้มีที่มาจากการตัดหางไก่แล้วนำไปปล่อยเพื่อสะเดาะเคราะห์หรือแก้เคราะห์ในสมัยโบราณ มีหลักฐานในกฎมนเทียรบาลว่า เมื่อเกิดสิ่งที่เป็นอัปมงคล เช่นมีวิวาทตบตีกันถึงเลือดตกใน พระราชวังต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์ โดยเอาไก่ไปปล่อยนอกเมือง เพื่อให้พาเสนียดจัญไรไปให้พ้น

ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีประกาศกล่าวถึงการนำไก่ไปปล่อยที่วัดเพื่อสะเดาะเคราะห์ สันนิษฐานว่า ไก่ที่จะนำไปปล่อยที่วัดจะตัดหางเพื่อเป็นเครื่องหมายว่าเป็นไก่ที่ปล่อย เพื่อการสะเดาะเคราะห์ด้วย

ไก่มงคล เลี้ยงไว้จะนำโชคลาภมาสู่เจ้าของ ควรหามาเลี้ยงไว้ ในทางตรงข้ามก็มีไก่ที่เลี้ยงไว้จะทำให้เกิดอาเพศ แก่เจ้าของและบ้านที่อยู่อาศัย ห้ามเข้าไปใกล้ห้ามแตะต้อง จะเป็นอัปมงคลแก่ตัว โบราณสังเกตจดจำพบเห็นมาแล้วว่าจริง จึงได้สั่งสอนลูกหลานสืบต่อกันมา กลายเป็นตำราโบราณตกทอดมาถึงปัจจุบัน มีอะไรกันบ้างมาดูกันครับ

1. ไก่กลิ่นตัวเหม็น คือ ไก่ที่มีกลิ่นตัวเหมือนอุจาระ,ซากศพ,สาบ,สาง ฯ จะอาบน้ำล้างน้ำก็ไม่หมดกลิ่นเหม็น โบราณถือว่าเป็น ไก่อัปมงคล เป็นเสนียดจัญไร ทำลายชื่อเสียง บ้างช่อง วงศ์ตระกูล ของผู้เป็นเจ้าของ ผู้สัมผัส หามีอยู่ให้ตัดหางปล่อยวัดปล่อยป่า อย่าได้กินไก่เหล่านี้จะเกิดโชคร้ายมีอันตรายได้ (ว่ากันว่าถึงชีวิตเลยครับ)

2. ไก่ตัวเมียขันยาม คือ ไก่ตัวเมียขันตอนกลางคืนแบบตัวผู้ (ไม่ใช่ไก่ตัวเมียที่ขันสอนลูก หรือขันข่มไก่ตัวอื่น อันนี้ถือว่าดี ) ตัวเมียขันยาม ถือว่าเป็นอาเพศ เป็นรางร้าย แก่เจ้าของ บ้านช่อง ครอบครัว ไม่ควรเลี้ยงต่อไป ให้ตัดหางปล่อยวัด

3.ไกขันโหยหวนแบบโขมด ผมก็ไม่รู้ว่าโขมดเสียงเป็นเช่นไร ฟังเค้าเล่ามาว่าเป็นผีชนิดหนึ่งตามท้องทุ่ง เป็นดวงไฟลอยไปมา เรียกว่า ผีโขมด แต่ฟังจากที่เค้าเล่ามาก็ประมาณว่าร้องโหยหวน ครวญคราง น่ากลัว เสียงขันของไก่จะนิยมเสียงที่กระชากกระชั้น ดุดัน หรือ ก้องกังวาร ชวนฟัง แต่ถ้าตัวไหนขัน โหยหวน ชวนสยอง ก็ถือว่า อัปมงคล ไม่ควรเลี้ยงไว้ ให้ตัดหางปล่อยวัด

4. ไก่ปากเหม็น เหมือนอุจจาระ เหม็นโดยปกติ เหม็นเป็นประจำ ว่ากันว่าผู้เลี้ยง ไก่ปากเหม็น จะส่งผลให้ผู้นั้น พูดจาไม่เข้าหูคน เจรจากับใครๆมีแต่ผลเสีย เป็นที่รังเกียจของคนทั่วไปเพราะคำพูดจา ไม่ควรเลี้ยงไก่ปากเหม็นไว้ ควรนำไปตัดหางปล่อยวัด

5. ไก่เกล็ดต้องห้าม คือ แข้งไก่มีเกล็ดต้องห้าม ๕ ชนิดคือ เกล็ด ประตูผี, หนีเดิมพัน, เกล็ดอันบอด, ถอดหัวหนี, เกล็ดขี้แพ้ ไก่ที่มีเกล็ดห้าชนิดนี้ ให้ลงเข่งให้หมด ถ้าเมตตาไก่ ปล่อยวัดไปเสียก็ดี ไม่ต้องตัดหางก็ได้

6. ไก่ตัวเมียกินไข่/จิกกินลูก เป็นไก่ผี ไก่ปีศาจ อัปมงคล ผู้เลี้ยงไว้จะเกิดความสูญเสีย ชื่อเสีย,ทรัพย์,ของรัก ไม่ควรเลี้ยงไว้ ให้ตัดหางปล่อยวัด

7. ไก่ไล่จิกตีเจ้าของในบ้าน ถือเป็น ไก่อัปมงคล ให้ลงเข่งไปเสีย ถ้าเมตตาไก่ ปล่อยวัดไปก็ดีครับ

8. ไก่ฝ่าเท้าแดง คือ ไก่ที่ฝ่าเท้าแดงเป็นสีเลือด เหมือน เกล็ดสังวาลข้างแข้งเป็นไก่อัปมงคล จะเกิดอัคคีภัย โจรภัย หรือ เดือดเนื้อร้อนใจอยู่เป็นประจำให้นำไปตัดหางปล่อยวัด ( ในทางกลับกัน ไก่ฝ่าเท้าดำ เป็นไก่ กันไฟ กันโจร ถือเป็นไก่ดี ไก่มงคล )

9. ไก่โกโรโกโส คือ ผอมแห้ง ซีดเซียว ยืนงอ ซอมซ่อ ไม่ร้องไม่ขัน เป็นไก่อัปมงคล ทำให้ผู้เลี้ยง ยากจน หมดทรัพย์ เป็นไก่ผลาญทรัพย์ หมดสง่าราศี ถ้ามี ก็ตัดหางปล่อยวัดเช่นกัน

10. ไก่ขนมีลายหน้าผี, หน้ายักษ์ ขนที่หลัง หรือ ปีก มองดูเป็นลาย คล้าย หน้าผี,หน้ายักษ์ เป็นไก่อัปมงคล เลี้ยงไว้ เด็กๆในบ้านจะอยู่ไม่เป็นสุข หวาดกลัว,หวาดผวา จิตใจไม่ปกติ ไม่ควรเลี้ยง ให้ตัดหางปล่อยวัดไปเสีย

11. ไก่ตีนเป็ด คือ มีพังผืดง่ามเท้าเป็นแผ่นแบบตีนเป็ด เป็นอัปมงคล เลี้ยงไว้ทำให้เจ้าของไม่เจริญ ล้มเหลว ขาดทุน หากเกิดขึ้นในบ้านให้ตัดหางปล่อยวัดอีกเช่นกัน

12. ไก่ชอบกินอาจม กินของสกปรก กินของเน่าเหม็น กิจอุจจาระ คน,หมา,หรือขี้ไก่อื่นๆ หรือแม้แต่กินขี้ตัวเอง ไม่ชอบกิน ข้าว ผักหญ้า ผลไม้ เป็นไก่อัปมงคล จะเกิดอาเพศในบ้าน ขาดแคลนสารพัด แม้อาหารการกิน ตัดหางปล่อยวัดเสียเถอะ

13. ไก่ชอบคุ้ยเขี่ยทำลายข้าวของทรัพย์สินในบ้าน คือ ชอบขึ้นบ้านค้นบ้านคุ้ยเขี่ยทำลายข้าวของในบ้านเสียหาย แตกหัก เป็นประจำ ไม่บอกก็คงไม่เลี้ยงอยู่แล้วอัปมงคลหรือไม่ล่ะทำลายกันเห็นๆ สนับสนุนให้ปล่อยวัดครับผม

ตัดหางปล่อยวัด เป็นเคล็ดการนำไก่อัปมงคล มาตัดขนหางออกแล้วนำไปปล่อยวัดขจัดอัปมงคลจากบ้านจากผู้เลี้ยง ปล่อยวัดเพราะวัดเป็นพุทธสถาน พุทธจักร ขจัดสารพัดกาลกิณี สยบทุกอัปมงคล จนเป็นสำนวนกล่าวขานการตัดขาดจากกันว่า “ตัดหางปล่อยวัด”

ซาไก หนึ่งในชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนสยาม


ซาไก หนึ่งในชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนสยาม

ซาไก เป็นมนุษย์โบราณอาจจะที่มีมาตั้งแต่สมัยยุคหิน ประมาณ 1,500– 10,000 ปีมาแล้ว รูปร่างเตี้ยมีผิวดำ ฝีปากหนา ท้องป่อง น่องสั้นเรียว ผมหยิกเป็นก้นหอยติดศีรษะ ชาติพันธุ์นิกรอยด์ หรือเนกริโต ตระกูลออสโตร-เอเชียติก อยู่กระจายกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ราว 7-60 คน ในรัฐเกดะห์ มาเลเซีย ในส่วนลึกของนิวกินี ฟิลิปปินส์และหมู่เกาะอันดามัน เรียกตนเองว่า “มันนิ” (Mani) ส่วนผู้อื่นเรียกว่า เงาะ เงาะป่า ชาวป่า ซาแก หรือ โอรัง อัสลี (Orang Asli) หรือ กอย

สำหรับในประเทศไทยเงาะป่า หรือซาไก เป็นชนเผ่าดั้งเดิม หรือมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ที่อาศัยตามแนวเขานครศรีธรรมราช ทิวเขาสันกาลาคีรี และทิวเขาภูเก็ต ทิวเขาทั้งสามถือเป็นกระดูกสันหลังของภาคใต้

ชาวพื้นเมืองกลุ่มนี้ยึดครองเป็นเจ้าของถิ่นมาช้านานแล้ว เมื่อหลายร้อยปีก่อน ปรากฎหลักฐานพอเชื่อถือได้ว่า มีชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่ ตามจังหวัดกระบี่ ตรัง นครศรีธรรมราช สตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส พัทลุง รวม 9 จังหวัด

ชนกลุ่มนี้มีเพียงภาษาพูดไม่มีภาษาเขียนหรือตัวอักษร คำศัพท์ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ปัจจุบันพบการใช้คำศัพท์จากภาษาไทยภาคกลาง ภาษาไทยถิ่นใต้ และภาษามลายูถิ่น

เดิมทีชาวซาไกเป็นกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมแบบหาของป่า-ล่าสัตว์ในผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันนี้ ปัจจัยของความเปลี่ยนแปลงภายนอก ทั้งทางด้ายกายภาพและสังคม ได้เปลี่ยนแปลงให้ชนกลุ่มนี้มีลักษณะการดำรงชีวิต เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มีวิถีชีวิตแบบเคลื่อนย้ายอพยพหาของป่าล่า-สัตว์แบบดั้งเดิม, กลุ่มหาของป่า-ล่าสัตว์กึ่งสังคมหมู่บ้าน, กลุ่มสังคมหมู่บ้านเต็มรูปแบบ

ทุกวันนี้อาศัยอยู่ไม่กี่จังหวัด เช่น ตรัง สตูล พัทลุง ยะลา นราธิวาส สงขลา สมัยก่อนทิวเขาเหล่านี้มีความอุดมสมบูรณ์ ผลไม้ป่า สัตว์ป่า ทำให้พวกเงาะป่า หรือซาไก อยู่อย่างสะดวกสบาย พวกนี้จะอยู่รวมเป็นกลุ่ม เดินทางเร่ร่อน ตามรอยต่อของจังหวัดตรัง พัทลุง สตูล สงขลา และเตลิดเปิดเปิงไปยะลา ข้ามเขตไปประเทศมาเลเซีย เมื่อป่าไม้ถูกทำลาย ความอุดมสมบูรณ์ลดลงเป็นอันมาก ชาวป่าไม่มีที่อยู่อาศัย กลุ่มใหญ่เข้าป่าไปอยู่มาเลเซีย เพราะป่ายังอุดมสมบูรณ์ กลุ่มหนึ่งกลายเป็นคนเมืองทางราชการจัดที่ให้ อาศัยเป็นหลักแหล่งที่อำเภอธารโต จังหวัดยะลา เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด

สำหรับในภาคใต้ของประเทศไทยมีซาไกอยู่สี่กลุ่มรวมประมาณ 200 คน คือ
1.ซาไกกันซิว อยู่ในอำเภอธารโต จังหวัดยะลา
2.ซาไกยะฮาย อยู่ในอำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส
3.ซาไกแตะเดะหรือเยแด อยู่ บริเวณภูเขาสันกาลาคีรีแถบจังหวัดยะลาและอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส
4.ซาไกแต็นเอ็น อยู่บริเวณเขาบรรทัดแถบคลองตง คลองหินแดง บ้านเจ้าพะและถ้ำเขาเขียด อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง(ประมาณ 100 คน) จังหวัดพัทลุงและจังหวัดสตูล

ซาไกที่อาศัยอยู่ที่อำเภอธารโต จังหวัดยะลา ได้รับพระราชทานนามสกุลจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยใช้ชื่อสกุลว่า "ศรีธารโต" แต่ปัจจุบันซาไกธารโตส่วนใหญ่ได้อพยพไปอยู่ในมาเลเซีย ด้วยเหตุผลด้านที่ทำกินและวิถีชีวิตที่ดีกว่า ประกอบกับเหตุผลด้านความไม่สงบ

ปัจจุบันชาวเงาะป่า หรือซาไก ในจังหวัดสตูลได้พัฒนาตนเองเป็นคนเมือง เช่น ลูกสาวแต่งงานกับชาวบ้านชาวเงาะป่า หรือ ซาไก เดินทางขายสมุนไพรในตลาดนัด พบปะผู้คนชาวเมือง ผู้ชายหัวหน้าชอบดื่มเหล้าขาว เมามายนอนกลิ้งตามบ้านเรือน หรือร้านค้าในตลาด พฤติกรรมที่เป็นคนป่าเปลี่ยนไป สวมเสื้อยืด นุ่งกางเกงยีน ดื่มน้ำจากขวดพลาสติก ซื้อข้าวห่อ พวกที่อยู่ยะลาพัฒนาขึ้นมาก เช่น ในบ้านที่ทางราชการจัดให้ มีไฟฟ้าใช้ หม้อข้าวไฟฟ้า ตู้เย็น พัดลง โทรทัศน์ มีเกือบทุกบ้าน ลูก ๆ เข้าเรียนหนังสือ

นับวันวิถีชีวิตของเงาะป่า หรือซาไก กำลังถูกกลืนโดยสังคมที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

ภาพประกอบ: เงาะซาไก ถ่ายที่บ้านโต อ.ธารโต จ.ยะลา พ.ศ.2496 ขอบคุณภาพจากเพจยะลาเมื่อวันวาน

นางสาวสุวรรณ ภาพยนต์ไทยเรื่องแรก


นางสาวสุวรรณ ภาพยนต์ไทยเรื่องแรก

แม้ว่าระหว่าง ปี 2450-2465 จะเป็นช่วงที่มีกิจการของภาพยนต์ในสยามคึกคักมาก โดยในปี 2470 มีโรงภาพยนต์ทั่วประเทศ กว่า 68 โรง ในพระนคร มี 12 โรง ต่างจังหวัด 56 โรง ปี 2476 เกิดโรงหนังที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นคือ ศาลาเฉลิมกรุง แต่ที่ฉายก็ล้วนเป็นหนังฝรั่ง

ปี พ.ศ. 2465 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีกลุ่มนักสร้างภาพยนตร์ชาวอเมริกันจากบริษัทยูนิเวอร์ซัล เดินทางเข้ามาดูสถานที่ถ่ายทำในเมืองไทยเพื่อทำหนังสารคดีในปี 2465 แต่เมื่อเดินทางมาถึงเมืองไทยนายเฮนรี แมกเร ผู้กำกับของ บริษัทยูนิเวอร์ซัล ฮอลลีวูด รู้สึกประทับใจในความสวยงามของภูมิประเทศ จึงตัดสินใจสร้างหนังเรื่องยาวแทน นายเฮนรี แมกเร จึงเดินทางมาขอพระบรมราชานุญาตถ่ายภาพยนตร์เรื่อง นางสาวสุวรรณ ซึ่งเป็นนิยายรักของชาวสยามและใช้คนไทยแสดงตลอดเรื่อง

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 นอกจากจะทรงอนุญาตแล้ว ยังทรงโปรดให้กรมรถไฟหลวง และกรมมหรสพหลวง ร่วมงานกับนายแมกเร ด้วย โดยกรมรถไฟหลวงอำนวยความสะดวกในการหาสถานที่ถ่ายทำ การเดินทางขนส่ง การล้างและพิมพ์สำเนาฟิล์มภาพยนตร์ และกรมมหรสพช่วยหาผู้แสดงให้

โดยมีผู้แสดงสำคัญในหนังเรื่องนี้ได้แก่ นางสาวเสงี่ยม นาวีเสถียร นางรำในกรมมหรสพหลวง แสดงเป็น นางสาวสุวรรณ, ขุมรามภรตศาสตร์ (ยม มงคลนัฎ) ตัวโขนพระรามของกรมศิลปากร แสดงเป็น นายกล้าหาญ ตัวพระเอก และ หลวงภรตกรรรมโกศล (มงคล สุมนนัฎ) สมุหบาญชี แสดงเป็น นายกองแก้ว ซึ่งเป็นตัวโกง

สถานที่ถ่ายทำนอกจากในกรุงเทพฯแล้ว ยังเดินทางไปที่หัวหิน เพื่ออวดสถานที่ตากอากาศของกรุงสยามและที่เชียงใหม่อีกแห่ง เพื่อแสดงภาพการทำป่าไม้ แต่ในระหว่างถ่ายทำ มีข่าวว่าเฮนรี แมกเรไปถ่ายฉากประหารชีวิตด้วยการตัดคอที่ เชียงใหม่ เนื่องจากตามเนื้อเรื่อง พระเอกถูกใส่ร้ายจนเกือบโดนประหารชีวิต แต่นางเอกมาช่วยทัน เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปจึงมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจพิจารณาก่อนฉาย และให้ตัดฉากประหารชีวิตออก ภาพยนตร์เรื่องนี้ นำไปสู่กลไกการควบคุมการสร้างภาพยนตร์ในเวลาต่อมา

เมื่อถ่ายทำเสร็จสมบูรณ์ นายเฮนรี แมกเร ได้นำขึ้นถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตร และมอบกรรมสิทธิ์สำเนาหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ให้กับกรมรถไฟหลวง สำหรับนำออกฉายในประเทศไทย ภาพยนตร์เรื่อง นางสาวสุวรรณ ออกฉายในกรุงสยามเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2465 ท่ามกลางความตื่นเต้นของประชาชน และได้เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาด้วย ใช้ชื่อว่า "Kingdom of Heaven"

นางสาวสุวรรณ (อังกฤษ: Miss Suwanna of Siam) เป็นภาพยนตร์ใบ้ แนวรักใคร่ ค.ศ.1923 ขนาดสามสิบห้ามิลลิเมตร ความยาวแปดม้วน เขียนบทและกำกับโดย เฮนรี แม็กเร (Henry MacRae) และเป็นเรื่องแรกที่ถ่ายทำในประเทศสยาม (ต่อมาคือ ประเทศไทย) โดยฮอลลีวูด ที่ใช้นักแสดงชาวสยามทั้งหมด เริ่มถ่ายทำเมื่อต้นเดือนมีนาคมและสร้างเสร็จเมื่อเดือนมิถุนายน ในปี พ.ศ. 2465

เข้ามาฉายในประเทศไทยได้เพียง 3 วัน ฟิล์มต้นฉบับก็สูญหาย นับเป็นโชคร้ายที่ปัจจุบันไม่เหลือสิ่งใดเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้อีกเลย นอกจากวัสดุประชาสัมพันธ์และของชำร่วยเล็ก ๆ น้อย ซึ่งรักษาไว้ที่ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)

นายขนมต้ม นักมวยชาวกรุงศรีอยุธยา ผู้โด่งดังในแผ่นดินอังวะ


นายขนมต้ม นักมวยชาวกรุงศรีอยุธยา ผู้โด่งดังในแผ่นดินอังวะ

นายขนมต้ม (พ.ศ. 2293 - ?) เป็นนักมวยคาดเชือกชาวกรุงศรีอยุธยา เกิดที่ตำบลบ้านกุ่ม อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรนายเกิด และนางอี่ มีพี่สาวชื่อนางเอื้อย ทั้งพ่อแม่และพี่ถูกพม่าฆ่าตายหมด และต้องไปอยู่วัดตั้งแต่เล็ก นายขนมต้มถูกพม่ากวาดต้อนไปเชลยในระหว่างเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2

ต่อมาพระเจ้าอังวะได้จัดให้มีงานสมโภชมหาเจดีชะเวดากองขึ้นและได้จัดให้มีการแข่งขันชกมวยขึ้นด้วย พระองค์ต้องการทอดพระเนตรนักมวยที่มีฝีมือดี ๆ ขุนนางพม่ากราบทูลว่า ชาวไทยมีฝีมือมวยไทยดีเกือบทุกคน พระเจ้าอังวะจึงตรัสสั่งให้จัดนักมวยมาชกในงาน ให้มีมวยไทยที่มีฝีมือดีคนหนึ่ง ชื่อ “นายขนมต้ม”

นายขนมต้ม เป็นชาวบ้านที่มีฝีมือในเชิงมวยไทยดีคนหนึ่งตั้งแต่ก่อนที่จะเสียกรุง ขุนนางพม่าได้นำตัวนายขนมต้ม เข้าถวายพระเจ้าอังวะ พระเจ้าอังวะจึงโปรดให้จัดนักมวยพม่าเข้ามาเปรียบมวยด้วย นายขนมต้ม เมื่อได้คู่ชกพระองค์ก็โปรดให้ชกกันหน้าพระที่นั่ง

ในพงศาวดารกล่าวว่า
เมื่อพระเจ้ามังระโปรดให้ปฏิสังขรณ์และก่อเสริมพระเจดีย์ชเวดากองในเมืองย่างกุ้งเป็นการใหญ่นั้น ครั้นงานสำเร็จลงในปี พ.ศ. 2317 พอถึงวันฤกษ์งามยามดี คือวันที่ 17 มีนาคม จึงโปรดให้ทำพิธียกฉัตรใหญ่ขึ้นไว้บนยอดเป็นปฐมฤกษ์ แล้วได้ทรงเปิดงานมหกรรมฉลองอย่างมโหฬาร ขุนนางพม่ากราบทูลว่า "นักมวยไทยมีฝีมือดียิ่งนัก" พระเจ้ามังระจึงตรัสสั่งให้เอาตัวนายขนมต้ม นักมวยดีมีฝีมือตั้งแต่ครั้งกรุงเก่ามาถวาย พระเจ้ามังระได้ให้จัดมวยพม่าเข้ามาเปรียบกับนายขนมต้ม โดยจัดให้ชกต่อหน้าพระที่นั่ง ปรากฏว่านายขนมต้มชกพม่าไม่ทันถึงยกก็แพ้ถึงเก้าคนสิบคนก็สู้ไม่ได้ พระเจ้ามังระทอดพระเนตรยกพระหัตถ์ตบพระอุระตรัสสรรเสริญนายขนมต้มว่า “คนไทยนี้มีพิษสงรอบตัว แม้มือเปล่ายังเอาชนะคนได้ถึงเก้าคนสิบคน นี่หากว่ามีเจ้านายดี มีความสามัคคีกัน ไม่ขัดขากันเอง และไม่เห็นแก่ความสุขส่วนตัว และโคตรตระกูลแล้ว ไฉนเลยกรุงศรีอยุธยาจะเสียทีแก่ข้าศึก ดั่งที่เห็นอยู่ทุกวันนี้”

เรื่องราวของนายขนมต้มประวัติศาสตร์ของพม่าก็ยังปรากฏอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ และจากการสืบค้นคว้าของกรมศิลปากร พบว่า วันที่นายขนมต้มชกกับพม่าที่หน้าพระที่นั่งในประเทศพม่านั้นคือวันที่ 17 มีนาคม พุทธศักราช 2313 ดังนั้นนักมวยไทยจึงถือเอาวันที่ 17 มีนาคม ของทุกปีเป็น “วันมวยไทย”

ชาวพระนครศรีอยุธยาได้พร้อมใจกันสร้าง "อนุสาวรีย์นายขนมต้ม" ไว้ที่บริเวณสนามกีฬากลางจังหวัด พระนครศรีอยุธยา

พันท้ายนรสิงห์ ผู้รักษากฎระเบียบ กฎมณเฑียรบาลยิ่งกว่าชีวิตตน


พันท้ายนรสิงห์ ผู้รักษากฎระเบียบ กฎมณเฑียรบาลยิ่งกว่าชีวิตตน

พันท้ายนรสิงห์ มีนามเดิมว่า สิงห์ แต่ก่อนท่านก็เป็นนักมวยที่เก่งมากและก็เคยขึ้นชกกับพระเจ้าเสือมาแล้ว แต่ว่าเสมอกัน พระเจ้าเสือรู้สึกประทับใจจึงให้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก แล้วเลื่อนขึ้นมาเป็นราชองครักษ์

พันท้ายนรสิงห์ เป็นนายท้ายเรือพระที่นั่งเอกไชยอยู่ในรัชสมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่ 8 (พระเจ้าเสือ) ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริต จงรักภักดีและรักษาระเบียบวินัยยิ่งชีวิต

เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ปรากฏ อยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับต่างๆ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ใน พ.ศ.2246 - 2252

สมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่8 ประพาสปากน้ำสาครบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสมุทรสาคร) เพื่อทรงเบ็ด ด้วยเรือพระที่นั่งเอกไชย มีพันท้ายนรสิงห์เป็นนายท้าย พันท้ายนรสิงห์เป็นชาวบ้านนรสิงห์ แขวงเมืองอ่างทอง การเสด็จประพาสปากน้ำสาครบุรีในครั้งนี้ เมื่อเรือพระที่นั่งไปถึงตำบลโคกขามคลองบริเวณดังกล่าวมีความคดเคี้ยวมาก พันท้ายนรสิงห์พยายามคัดท้ายเรือพระที่นั่งอย่างระมัดระวังแต่ไม่อาจหลบเลี่ยงอุบัติเหตุได้ หัวเรือพระที่นั่งชนกิ่งไม้ใหญ่หักตกลงไปในน้ำ

พันท้ายนรสิงห์รู้โทษดีว่า ความผิดครั้งนี้ถึงประหารชีวิตตามโบราณราชประเพณี ซึ่งกำหนดว่าถ้าผู้ใดถือท้ายเรือพระที่นั่งให้หัวเรือพระที่นั่งหัก ผู้นั้นถึงมรณะโทษให้ตัดศีรษะเสีย จึงกราบทูลพระกรุณาน้อมรับโทษตามพระราชประเพณี

สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 ทรงพิจารณาเห็นว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นการสุดวิสัยมิใช่ความประมาท จึงพระราชทานอภัยโทษให้ แต่พันท้ายนรสิงห์กราบบังคมยืนยันขอให้ตัดศีรษะตนเพื่อรักษาขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดกฎหมาย เป็นการป้องกันมิให้ผู้ใดครหาติเตียนพระเจ้าอยู่หัวได้ว่าทรงละเลยพระราชกำหนดของแผ่นดินและเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป พระองค์ทรงโปรดให้ฝีพายทั้งปวงปั้นมูลดินเป็นรูปพันท้ายนรสิงห์ แล้วให้ตัดศีรษะรูปดินนั้นเพื่อเป็นการทดแทนกัน แต่พันท้ายนรสิงห์ยังบังคมกราบทูลยืนยันขอให้ประหารตน

แม้สมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่ 8 จะทรงอาลัยรักน้ำใจพันท้ายนรสิงห์เพียงใดก็ทรงจำพระทัยปฎิบัติตามพระราชกำหนด ดำรัสสั่งให้เพชฌฆาตประหารพันท้ายนรสิงห์แล้วโปรดให้ตั้งศาลสูงประมาณเพียงตา นำศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับหัวเรือพระที่นั่งเอกไชยซึ่งหักนั้น ขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกันบนศาล

แล้วทรงพระราชดำริว่าคลองโคกขามคดเคี้ยวนักไม่สะดวกต่อการเดินเรือ บางครั้งชาวเมืองต้องเดินเรืออ้อมเป็นที่ลำบากยิ่ง สมควรจะขุดลัดตัดตรง เมื่อขุดเสร็จจึงได้รับพระราชทานนามว่า "คลองสนามไชย" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "คลองมหาชัย" ทั้งนี้เพื่อเป็นการรำลึกถึงพันท้ายนรสิงห์ข้าหลวงเดิมซึ่งเป็นคนซื่อสัตย์ มั่นคง ยอมเสียสละชีวิตโดยไม่ยอมเสียพระราชประเพณี

กรมศิลปากรได้ดำเนินการจัดสร้างศาลพันท้ายนรสิงห์ขึ้น อยู่ถัดจากศาลเก่าที่พังลงไม่มากนัก โดยกันอาณาบริเวณรอบๆ ศาลไว้

ศาลพันท้ายนรสิงห์ถูกประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 72 ตอนที่ 2 เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2498 กรมศิลปากรได้ดำเนินการจัดสร้างศาลพันท้ายนรสิงห์ขึ้น อยู่ถัดจากศาลเก่าที่พังลงมาไม่มากนัก โดยกันอาณาบริเวณรอบๆ ศาลไว้ประมาณ 100 ไร่ เพื่อจัดตั้งเป็น "อุทยานพันท้ายนรสิงห์" ภายในศาลมีรูปปั้นของพันท้ายนรสิงห์ขนาดเท่าของจริงในท่าถือท้ายคัดเรือ

ที่มา : oknation.net/blog/ThaiTeacher