tag:blogger.com,1999:blog-2149645520619031412024-03-12T16:35:28.251-07:00pattanapongAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.comBlogger33125tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-48293377181484866182013-02-18T20:00:00.002-08:002013-02-18T20:00:32.150-08:00อนุสาวรีย์วีรไทย ความกล้าหาญของทหารไทยในสงครามโลกครั้งที่2<br />
<div class="aboveUnitContent" style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px;">
<div class="userContentWrapper">
<div class="_wk" style="font-size: 15px; line-height: 18px;">
<span class="userContent"><b>อนุสาวรีย์วีรไทย ความกล้าหาญของทหารไทยในสงครามโลกครั้งที่2</b><br /><br />“อนุสาวรีย์วีรไทย” หรือจ่าดำ,พ่อจ่าดำตั้งอยู่ภายในค่ายวชิราวุธ(กองทัพภาคที่4) ถนนราชดำเนิน เป็นอนุสาวรีย์ที่หล่อด้วยทองแดงรมดำ เป็นรูปทหารเตรียมรบสองมือจับปืนติดดาบเตรียมแทง ขนาดเท<span class="text_exposed_show" style="display: inline;">่าครึ่งของคนจริง หันหน้าไปทางทิศเหนือ สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับยุวชนทหารและทหารไทยที่เสียชีวิตจากการรบกับทหารญี่ปุ่นใน “สงครามมหาเอเซียบูรพา”เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 เป็นการรำลึกถึงวีรกรรมของเหล่าบรรดาทหารหาญที่พลีชีพ ต่อสู้ข้าศึก เพื่อปกป้องมาตุภูมิ ชาวนครศรีธรรมราชให้ความเคารพนับถือองค์พ่อจ่าดำเป็นอย่างมากจะมีการมาบนบานศาลกล่าวต่อองค์พ่อจ่าดำเป็นประจำ และทุกๆวันอังคารและวันเสาร์ก็จะพบเห็นผู้คนมาสักการะเพื่อเป็นการแก้บนหลังได้รับสิ่งที่ขอแล้ว<br /><br />ในสงครามโลกครั้งที่2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484 เหตุการณ์การสู้รบในวันนั้น กองทัพไทยต้องสูญเสียกำลังทหาร และยุวชนทหารช่วยรบในจังหวัดปัตตานี สงขลา สุราษฎร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และนครศรีธรรมราช รวมกว่า 100 นาย ดังปรากฏนามจารึกไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์ทั้ง 6 ด้านอนุสาวรีย์จ่าดำ หรืออนุสาวรีย์วีรไทย ยังยืนตระหง่านบนจุดที่ได้สู้รบปกป้องปฐพีไทยสืบมา<br /><br />เมื่อเช้าตรู่วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2488 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับญี่ปุ่นที่โจมตีฐานทัพเรือเพิร์ลฮาเบอร์ของสหรัฐอเมริกา ในประเทศไทย ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกพร้อมกันที่สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช และปราจีนบุรี โดยที่ฝ่ายไทยไม่คาดคิด<br /><br />จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นที่ตั้งกองกำลังสำคัญของภาคใต้ คือมณฑลทหารบกที่ 6 ในเวลานั้นมีพลตรีหลวงเสนาณรงค์เป็นผู้บัญชาการมณฑล เช้าวันเกิดเหตุ ได้รับแจ้งข่าวจากนายไปรษณีย์ นครศรีธรรมราชว่า ญี่ปุ่นได้ส่งเรือรบประมาณ 15 ลำ มาลอยลำในอ่าวสงขลา และได้ยกพลขึ้นบกที่เมืองสงขลา พลตรีหลวงเสนาณรงค์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 จึงสั่งการรับศึกและสั่งให้เตรียมกำลังเคลื่อนย้ายไปสนับสนุนกองทัพสงขลาโดยด่วน ขณะเตรียมการอยู่นั้น ก็ได้รับแจ้งจากพลทหารว่า ญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่บ้านท่าแพ ตำบลปากพูน ผู้บัญชาการมณฑลจึงสั่งการให้ทุกคนทำการต่อสู่เต็มกำลัง โดยความมุ่งหมายที่จะมิให้กองทหารญี่ปุ่นเข้ายึดโรงทหารได้เป็นอันขาด<br /><br />การสู้รบระหว่างทหารไทย ยุวชนทหาร กับทหารญี่ปุ่นเป็นไปในลักษณะประจัญหน้า ผบ.มณฑล ได้สั่งการให้เปิดคลังแสงและจ่ายอาวุธปืนเล็ก ปืนกล และปืนประสุนให้แก่ทุกคนที่ยังไม่มีอาวุธประจำกาย และประกาศให้ทุกคนทำการสู้อย่างเต็มสติกำลัง โดยความมุ่งหมายที่จะมิให้กองทหารญี่ปุ่นเข้ายึดโรงทหารได้เป็นอันขาด ผู้ที่ไม่มีผู้บังคับบัญชาแน่นอน ก็ให้เข้าสมทบกับหน่วยใดหน่วยหนึ่งซึ่งประจำอยู่ตามแนวต่างๆ ในหน่วยร.17 พอคำสั่งด้วยวาจาไม่ว่าจะเป็นคำสั่งประกาศขาดคำลง ผู้รับคำสั่งทุกคนทุกหมู่ทุกเหล่าได้รีบลงมือปฏิบัติตามโดยทันที โดยมิได้มีการสะทกสะท้านหวาดกลัว หรือแสดงอาการตื่นเต้นลังเลแม้แต่น้อย<br /><br />เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นได้ของร้องรัฐบาลไทยให้ทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทยเพื่อไปโจมตีพม่า และมลายูของอังกฤษ และขอให้ระงับการ ต่อต้านของคนไทยเสีย คณะรัฐมนตรีโดยมี จอมพลแปลกพิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ก็อนุโลมตามความต้องการของญี่ปุ่น เพื่อรักษาชีวิตและเลือดเนื้อของคนไทย<br /><br />เวลาประมาณ 11.00 น. เศษ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 ได้รับสำเนาโทรเลขคำสั่งให้ยุติการรบ การต่อสู้ระหว่างทหารไทยกับทหารญี่ปุ่นจึงสงบลง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 สั่งให้นำกำลัง ยุวชนทหารกลับ และติดต่อให้ญี่ปุ่นส่งผู้แทนมาเจรจา เพื่อตกลงกันในรายละเอียด ผลการเจรจายุติการรบ โดยสรุป มีดังนี้<br /><br />1. ญี่ปุ่นขอให้ถอนทหารไทยจากที่ตั้งปกติไปให้พ้นแนวคลองสะพานราเมศวร์ ให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 3 ชั่วโมง เพราะญี่ปุ่นต้องการใช้สนามบินโดยด่วน<br />2.ในบริเวณตัวเมืองนครศรีธรรมราช โดยอาศัยตาม โรงเรียน วัด และบ้านพักข้าราชการเป็นต้น<br />3. ฝ่ายไทยขอขนอาวุธและสัมภาระติดตัวไปด้วย ยกเว้นอาวุธหนัก กระสุน และวัตถุระเบิด และน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วน ตลอดจนเครื่องบิน แต่ฝ่ายญี่ปุ่นไม่ยินยอม<br />4. ฝ่ายญี่ปุ่นแสดงความเสียใจที่ได้มีการสู้รบกัน มีความรู้สึกเห็นใจ และยกย่องชมเชยวีรกรรมของทหารไทย<br /><br />ฝ่ายไทยสูยเสียชีวิต 38 คน เป็นนายทหารสัญญาบัตร 3 คน นายทหาร 3 คน พลทหาร 32 คน ฝ่ายญี่ปุ่นไม่ทราบจำนวน ภายหลังเสร็จสิ้นสงครามมหาเชียบูรพา ประชาชนและข้าราชการได้ร่วมใจกันสร้างอนุสาวรีย์ วีรไทย(พ่อจ่าดำ) เป็นรูปทหารถือดาบปลายปืนในท่าออกศึก ซึ่งออกแบบปั้นโดยนายสนั่น ศิลากรณ์ ข้าราชการกรมศิลปากรในสมัยนั้น และได้ประดิษฐานในค่าย วชิราวุธเมื่อ พ.ศ.2492</span></span></div>
</div>
</div>
<div class="photoUnit clearfix" style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 0px -15px; overflow: hidden; position: relative; zoom: 1;">
<div class="_53s uiScaledThumb photo photoWidth1" data-cropped="1" data-gt="{"fbid":"445999642120986"}" style="float: left; overflow: hidden; position: relative;">
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=445999642120986&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-snc6%2F738198_445999642120986_704392944_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash3%2F564843_445999642120986_704392944_n.jpg&size=940%2C1342&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=445999642120986&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: initial;"><div class="uiScaledImageContainer photoWrap" style="height: 403px; margin-left: 3px; overflow: hidden; position: relative; width: 403px;">
<img alt="รูปภาพ : อนุสาวรีย์วีรไทย ความกล้าหาญของทหารไทยในสงครามโลกครั้งที่2
“อนุสาวรีย์วีรไทย” หรือจ่าดำ,พ่อจ่าดำตั้งอยู่ภายในค่ายวชิราวุธ(กองทัพภาคที่4) ถนนราชดำเนิน เป็นอนุสาวรีย์ที่หล่อด้วยทองแดงรมดำ เป็นรูปทหารเตรียมรบสองมือจับปืนติดดาบเตรียมแทง ขนาดเท่าครึ่งของคนจริง หันหน้าไปทางทิศเหนือ สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับยุวชนทหารและทหารไทยที่เสียชีวิตจากการรบกับทหารญี่ปุ่นใน “สงครามมหาเอเซียบูรพา”เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 เป็นการรำลึกถึงวีรกรรมของเหล่าบรรดาทหารหาญที่พลีชีพ ต่อสู้ข้าศึก เพื่อปกป้องมาตุภูมิ ชาวนครศรีธรรมราชให้ความเคารพนับถือองค์พ่อจ่าดำเป็นอย่างมากจะมีการมาบนบานศาลกล่าวต่อองค์พ่อจ่าดำเป็นประจำ และทุกๆวันอังคารและวันเสาร์ก็จะพบเห็นผู้คนมาสักการะเพื่อเป็นการแก้บนหลังได้รับสิ่งที่ขอแล้ว
ในสงครามโลกครั้งที่2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484 เหตุการณ์การสู้รบในวันนั้น กองทัพไทยต้องสูญเสียกำลังทหาร และยุวชนทหารช่วยรบในจังหวัดปัตตานี สงขลา สุราษฎร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และนครศรีธรรมราช รวมกว่า 100 นาย ดังปรากฏนามจารึกไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์ทั้ง 6 ด้านอนุสาวรีย์จ่าดำ หรืออนุสาวรีย์วีรไทย ยังยืนตระหง่านบนจุดที่ได้สู้รบปกป้องปฐพีไทยสืบมา
เมื่อเช้าตรู่วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2488 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับญี่ปุ่นที่โจมตีฐานทัพเรือเพิร์ลฮาเบอร์ของสหรัฐอเมริกา ในประเทศไทย ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกพร้อมกันที่สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช และปราจีนบุรี โดยที่ฝ่ายไทยไม่คาดคิด
จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นที่ตั้งกองกำลังสำคัญของภาคใต้ คือมณฑลทหารบกที่ 6 ในเวลานั้นมีพลตรีหลวงเสนาณรงค์เป็นผู้บัญชาการมณฑล เช้าวันเกิดเหตุ ได้รับแจ้งข่าวจากนายไปรษณีย์ นครศรีธรรมราชว่า ญี่ปุ่นได้ส่งเรือรบประมาณ 15 ลำ มาลอยลำในอ่าวสงขลา และได้ยกพลขึ้นบกที่เมืองสงขลา พลตรีหลวงเสนาณรงค์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 จึงสั่งการรับศึกและสั่งให้เตรียมกำลังเคลื่อนย้ายไปสนับสนุนกองทัพสงขลาโดยด่วน ขณะเตรียมการอยู่นั้น ก็ได้รับแจ้งจากพลทหารว่า ญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่บ้านท่าแพ ตำบลปากพูน ผู้บัญชาการมณฑลจึงสั่งการให้ทุกคนทำการต่อสู่เต็มกำลัง โดยความมุ่งหมายที่จะมิให้กองทหารญี่ปุ่นเข้ายึดโรงทหารได้เป็นอันขาด
การสู้รบระหว่างทหารไทย ยุวชนทหาร กับทหารญี่ปุ่นเป็นไปในลักษณะประจัญหน้า ผบ.มณฑล ได้สั่งการให้เปิดคลังแสงและจ่ายอาวุธปืนเล็ก ปืนกล และปืนประสุนให้แก่ทุกคนที่ยังไม่มีอาวุธประจำกาย และประกาศให้ทุกคนทำการสู้อย่างเต็มสติกำลัง โดยความมุ่งหมายที่จะมิให้กองทหารญี่ปุ่นเข้ายึดโรงทหารได้เป็นอันขาด ผู้ที่ไม่มีผู้บังคับบัญชาแน่นอน ก็ให้เข้าสมทบกับหน่วยใดหน่วยหนึ่งซึ่งประจำอยู่ตามแนวต่างๆ ในหน่วยร.17 พอคำสั่งด้วยวาจาไม่ว่าจะเป็นคำสั่งประกาศขาดคำลง ผู้รับคำสั่งทุกคนทุกหมู่ทุกเหล่าได้รีบลงมือปฏิบัติตามโดยทันที โดยมิได้มีการสะทกสะท้านหวาดกลัว หรือแสดงอาการตื่นเต้นลังเลแม้แต่น้อย
เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นได้ของร้องรัฐบาลไทยให้ทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทยเพื่อไปโจมตีพม่า และมลายูของอังกฤษ และขอให้ระงับการ ต่อต้านของคนไทยเสีย คณะรัฐมนตรีโดยมี จอมพลแปลกพิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ก็อนุโลมตามความต้องการของญี่ปุ่น เพื่อรักษาชีวิตและเลือดเนื้อของคนไทย
เวลาประมาณ 11.00 น. เศษ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 ได้รับสำเนาโทรเลขคำสั่งให้ยุติการรบ การต่อสู้ระหว่างทหารไทยกับทหารญี่ปุ่นจึงสงบลง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 สั่งให้นำกำลัง ยุวชนทหารกลับ และติดต่อให้ญี่ปุ่นส่งผู้แทนมาเจรจา เพื่อตกลงกันในรายละเอียด ผลการเจรจายุติการรบ โดยสรุป มีดังนี้
1. ญี่ปุ่นขอให้ถอนทหารไทยจากที่ตั้งปกติไปให้พ้นแนวคลองสะพานราเมศวร์ ให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 3 ชั่วโมง เพราะญี่ปุ่นต้องการใช้สนามบินโดยด่วน
2.ในบริเวณตัวเมืองนครศรีธรรมราช โดยอาศัยตาม โรงเรียน วัด และบ้านพักข้าราชการเป็นต้น
3. ฝ่ายไทยขอขนอาวุธและสัมภาระติดตัวไปด้วย ยกเว้นอาวุธหนัก กระสุน และวัตถุระเบิด และน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วน ตลอดจนเครื่องบิน แต่ฝ่ายญี่ปุ่นไม่ยินยอม
4. ฝ่ายญี่ปุ่นแสดงความเสียใจที่ได้มีการสู้รบกัน มีความรู้สึกเห็นใจ และยกย่องชมเชยวีรกรรมของทหารไทย
ฝ่ายไทยสูยเสียชีวิต 38 คน เป็นนายทหารสัญญาบัตร 3 คน นายทหาร 3 คน พลทหาร 32 คน ฝ่ายญี่ปุ่นไม่ทราบจำนวน ภายหลังเสร็จสิ้นสงครามมหาเชียบูรพา ประชาชนและข้าราชการได้ร่วมใจกันสร้างอนุสาวรีย์ วีรไทย(พ่อจ่าดำ) เป็นรูปทหารถือดาบปลายปืนในท่าออกศึก ซึ่งออกแบบปั้นโดยนายสนั่น ศิลากรณ์ ข้าราชการกรมศิลปากรในสมัยนั้น และได้ประดิษฐานในค่าย วชิราวุธเมื่อ พ.ศ.2492" class="scaledImageFitWidth img" height="403" src="https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/c0.0.403.403/p403x403/564843_445999642120986_704392944_n.jpg" style="border: 0px; height: auto; min-height: 100%; position: relative; width: 403px;" width="403" /></div>
</a></div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-84661177907904083192013-02-18T19:59:00.001-08:002013-02-18T19:59:18.436-08:00ยีลาปัน สะพานร้าง อนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่2<br />
<div class="aboveUnitContent" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px;">
<div class="userContentWrapper">
<div class="_wk" style="font-size: 15px; line-height: 18px;">
<span class="userContent" style="background-color: #666666;"><span style="color: white;"><b>ยีลาปัน สะพานร้าง อนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่2</b><br /><br />สะพานยีลาปัน เป็นสะพานข้ามแม่น้ำปัตตานี บนทางหลวงท้องถิ่น เลขที่ 410 บ้านยีลาปัน ตำบลตะลิ่งชัน อำเภบันนังสตา จังหวัดยะลา มีความกว้าง 6 เมตร ยาวประมาณ 50 เมตร พื้นสะพานเป็นเหล็กแบบรังผึ้ง ตัวโครงส<span class="text_exposed_show" style="display: inline;">ร้างทั้งหมดเป็นเหล็กกล้าล้วนๆ สร้างโดยกองทัพญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ราวๆ ปี พ.ศ. 2485 หลังจากที่กองทัพญี่ปุ่น ยกพลขึ้นบกแถวชายฝั่งภาคใต้และยึดครองแหลมมาลายู หรือประเทศสหพันธรัฐมาเลเชียในปัจจุบัน<br /><br />ในยุค จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย รัฐบาลจำต้องยินยอมจับมือกับกองทัพญี่ปุ่นเพื่อแลกกับการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งทรงอนุภาพมากที่สุดในยุคนั้น โดยญี่ปุ่นต้องการใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน เพื่อขนยุทโธปกรณ์และกำลังพล ไปโจมตีประเทศพม่า และเพื่อยึดครองอินเดียอนานิคมของอังกฤษ ซึ่งในสมัยนั้น การคมนาคมยังไม่สะดวกนัก โดยเฉพาะสะพานข้ามแม่น้ำปัตตานีตรงจุดนี้ เป็นเพียงสะพานไม้ขอน ซึ่งไม่สามารถขนส่ง ลำเลียงยุทโธปกรณ์ที่มีน้ำหนักจำนวนมากผ่านไปได้ กองทัพญี่ปุ่นได้ดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่นั้นมา รถทุกคันที่เดินทางไปอำเภอเบตง จังหวัดยะลา จึงต้องวิ่งผ่านสะพานแห่งนี้ทุกคัน จนกระทั้งในปี 2538 แขวงการทางยะลา ก็ได้สร้างสะพานคอนกรีตขึ้นมาทดแทนเนื่องจากสะพานยีลาปัน แคบไม่สะดวกในการสัญจร โดยในช่วงนั้นมีข่าวลือว่า ญี่ปุ่นจะเอาสะพานคืน จึงมีการสร้างใหม่เพื่อนทดแทนของเดิม สะพานยีลาปัน จึงปิดตัวเองลง และกลายเป็นอนุสาวรีย์แห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อเตือนใจให้ชาวยะลาและชาวโลกได้รับทราบถึงความโหดร้ายของสงคราม<br /><br /><br />วันนี้ สะพานยีลาปัน ยังคงอยู่ ยังคงตั้งตระหง่านท้าทายสายลม แสงแดด และสถานการณ์ไฟใต้ วันหน้าหากเหตุการณ์สงบ หากบ้านนี้เมืองนี้หันหน้าเข้าหากัน เราคงได้เห็นกรุ๊ปนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ชาวอังกฤษ ได้มายืนถ่ายรูป มายืนรำลึก ซึมซับ ถึงอดีตกาล ที่ครั้งหนึ่งบรรพบุรุษเขาได้มาใช้ชีวิต เป็นแรมปีก็ได้<br /><br /><br /><br />ขอบคุณข้อมูลจาก oknation.net/blog/localbetong</span></span></span></div>
</div>
</div>
<div class="photoUnit clearfix" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 0px -15px; overflow: hidden; position: relative; zoom: 1;">
<div class="_53s uiScaledThumb photo photoWidth1" data-cropped="1" data-gt="{"fbid":"443899972330953"}" style="float: left; overflow: hidden; position: relative;">
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=443899972330953&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash4%2F280272_443899972330953_1995525013_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash3%2F71694_443899972330953_1995525013_n.jpg&size=2048%2C1318&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=443899972330953&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="cursor: pointer; text-decoration: initial;"><div class="uiScaledImageContainer photoWrap" style="height: 403px; margin-left: 3px; overflow: hidden; position: relative; width: 403px;">
<img alt="รูปภาพ : ยีลาปัน สะพานร้าง อนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่2
สะพานยีลาปัน เป็นสะพานข้ามแม่น้ำปัตตานี บนทางหลวงท้องถิ่น เลขที่ 410 บ้านยีลาปัน ตำบลตะลิ่งชัน อำเภบันนังสตา จังหวัดยะลา มีความกว้าง 6 เมตร ยาวประมาณ 50 เมตร พื้นสะพานเป็นเหล็กแบบรังผึ้ง ตัวโครงสร้างทั้งหมดเป็นเหล็กกล้าล้วนๆ สร้างโดยกองทัพญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ราวๆ ปี พ.ศ. 2485 หลังจากที่กองทัพญี่ปุ่น ยกพลขึ้นบกแถวชายฝั่งภาคใต้และยึดครองแหลมมาลายู หรือประเทศสหพันธรัฐมาเลเชียในปัจจุบัน
ในยุค จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย รัฐบาลจำต้องยินยอมจับมือกับกองทัพญี่ปุ่นเพื่อแลกกับการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งทรงอนุภาพมากที่สุดในยุคนั้น โดยญี่ปุ่นต้องการใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน เพื่อขนยุทโธปกรณ์และกำลังพล ไปโจมตีประเทศพม่า และเพื่อยึดครองอินเดียอนานิคมของอังกฤษ ซึ่งในสมัยนั้น การคมนาคมยังไม่สะดวกนัก โดยเฉพาะสะพานข้ามแม่น้ำปัตตานีตรงจุดนี้ เป็นเพียงสะพานไม้ขอน ซึ่งไม่สามารถขนส่ง ลำเลียงยุทโธปกรณ์ที่มีน้ำหนักจำนวนมากผ่านไปได้ กองทัพญี่ปุ่นได้ดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่นั้นมา รถทุกคันที่เดินทางไปอำเภอเบตง จังหวัดยะลา จึงต้องวิ่งผ่านสะพานแห่งนี้ทุกคัน จนกระทั้งในปี 2538 แขวงการทางยะลา ก็ได้สร้างสะพานคอนกรีตขึ้นมาทดแทนเนื่องจากสะพานยีลาปัน แคบไม่สะดวกในการสัญจร โดยในช่วงนั้นมีข่าวลือว่า ญี่ปุ่นจะเอาสะพานคืน จึงมีการสร้างใหม่เพื่อนทดแทนของเดิม สะพานยีลาปัน จึงปิดตัวเองลง และกลายเป็นอนุสาวรีย์แห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อเตือนใจให้ชาวยะลาและชาวโลกได้รับทราบถึงความโหดร้ายของสงคราม
วันนี้ สะพานยีลาปัน ยังคงอยู่ ยังคงตั้งตระหง่านท้าทายสายลม แสงแดด และสถานการณ์ไฟใต้ วันหน้าหากเหตุการณ์สงบ หากบ้านนี้เมืองนี้หันหน้าเข้าหากัน เราคงได้เห็นกรุ๊ปนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ชาวอังกฤษ ได้มายืนถ่ายรูป มายืนรำลึก ซึมซับ ถึงอดีตกาล ที่ครั้งหนึ่งบรรพบุรุษเขาได้มาใช้ชีวิต เป็นแรมปีก็ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก oknation.net/blog/localbetong" class="scaledImageFitWidth img" height="403" src="https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/c111.0.403.403/p403x403/71694_443899972330953_1995525013_n.jpg" style="border: 0px; height: auto; min-height: 100%; position: relative; width: 403px;" width="403" /></div>
</a></div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-193313805259472312013-02-18T19:47:00.004-08:002013-02-18T19:47:50.068-08:00สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำพิธีหลั่งน้ำทักษิโณทกประกาศอิสรภาพจากหงสาวดี<br />
<div class="aboveUnitContent" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px;">
<div class="userContentWrapper">
<div class="_wk" style="font-size: 15px; line-height: 18px;">
<span class="userContent" style="background-color: black;"><span style="color: white;"><b>สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำพิธีหลั่งน้ำทักษิโณทกประกาศอิสรภาพจากหงสาวดี</b><br /><br />เมื่อ พ.ศ. 2126 พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ยกทัพไปตีเมืองอังวะ และเกณฑ์ทัพไทยขึ้นไปด้วยสมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดเกล้าให้สมเด็จพระนเรศวรคุมทัพขึ้นไปช่วย แต่ยกไปไม่ทันตามกำห<span class="text_exposed_show" style="display: inline;">นดเป็นเหตุให้พระเจ้านันทบุเรงเกิดความระแวงจึงรับสั่งให้พระมหาอุปราชาหาทางกำจัดสมเด็จพระนเรศวร<br /><br />เมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จถึงเมืองแครง ทรงพักทัพอยู่<br />ใกล้วัดของพระมหาเถรคันฉ่องสมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จไปนมัสการพระมหาเถรคันฉ่อง พระมหาเถรคันฉ่องจึงได้ทูลเรื่องความลับที่พระมหาอุปราชาให้พระยาเกียรติ พระยาราม หาทาง<br />กำจัดพระองค์<br /><br />เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงทราบ ก็ทรงพิโรธมากที่พระเจ้านันทบุเรงคิดทำแบบนี้ สมเด็จพระนเรศวรจึงโปรดให้แม่ทัพนายกองมาประชุม และให้นิมนต์พระมหาเถรคันฉ่องพร้อมคณะสงฆ์ มานั่งเป็นสักขีพยานที่พลับพลา จากนั้นพระองค์ได้ทรงหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ำเต้าทองคำ) ประกาศแก่เทพยดาฟ้าดิน ประกาศอิสรภาพไม่ยอมขึ้นกับหงสาวดีอีกต่อไป ทรงตรัสว่า<br /><br />"ขออัญเชิญเทพยดา อันมีมหิทธิฤทธิ์ ทิพยจักขุ ทิพยโสต จงลงมาเป็นทิพย์พยาน ด้วยพระเจ้าหงสาวดีคิดไม่ซื่อ ประพฤติพาลทุจริต เสียสามัคคีรสธรรม นับแต่บัดนี้ กรุงพระมหานครศรีอโยธยาและหงสาวดี หาได้เป็นสุวรรณปฐพีเดียวกันเฉกเช่นกาลก่อน ขาดกันแต่นี้ไป ตราบชั่วกัลปาวสาน"<br /><br />จากนั้นพระองค์ได้ตรัสถามชาวเมืองแครงว่าจะเข้าข้างฝ่ายใด พวกมอญทั้งปวงต่างเข้ากับฝ่ายไทย สมเด็จพระนเรศวรจึงให้จับเจ้าเมืองกรมการพม่าแล้วเอาเมืองแครงเป็นที่ตั้งประชุมทัพ เมื่อจัดกองทัพเสร็จก็ทรงยกทัพจากเมืองแครงไปยังเมืองหงสาวดีเมื่อวันแรม 3 ค่ำ เดือน 6</span></span></span></div>
</div>
</div>
<div class="photoUnit clearfix" style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 0px -15px; overflow: hidden; position: relative; zoom: 1;">
<div class="_53s uiScaledThumb photo photoWidth1" data-cropped="1" data-gt="{"fbid":"453602774694006"}" style="float: left; overflow: hidden; position: relative;">
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=453602774694006&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F25983_453602774694006_1992383525_n.jpg&size=768%2C868&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=453602774694006&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: initial;"><div class="uiScaledImageContainer photoWrap" style="height: 403px; margin-left: 3px; overflow: hidden; position: relative; width: 403px;">
<img alt="รูปภาพ : สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำพิธีหลั่งน้ำทักษิโณทกประกาศอิสรภาพจากหงสาวดี
เมื่อ พ.ศ. 2126 พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ยกทัพไปตีเมืองอังวะ และเกณฑ์ทัพไทยขึ้นไปด้วยสมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดเกล้าให้สมเด็จพระนเรศวรคุมทัพขึ้นไปช่วย แต่ยกไปไม่ทันตามกำหนดเป็นเหตุให้พระเจ้านันทบุเรงเกิดความระแวงจึงรับสั่งให้พระมหาอุปราชาหาทางกำจัดสมเด็จพระนเรศวร
เมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จถึงเมืองแครง ทรงพักทัพอยู่
ใกล้วัดของพระมหาเถรคันฉ่องสมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จไปนมัสการพระมหาเถรคันฉ่อง พระมหาเถรคันฉ่องจึงได้ทูลเรื่องความลับที่พระมหาอุปราชาให้พระยาเกียรติ พระยาราม หาทาง
กำจัดพระองค์
เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงทราบ ก็ทรงพิโรธมากที่พระเจ้านันทบุเรงคิดทำแบบนี้ สมเด็จพระนเรศวรจึงโปรดให้แม่ทัพนายกองมาประชุม และให้นิมนต์พระมหาเถรคันฉ่องพร้อมคณะสงฆ์ มานั่งเป็นสักขีพยานที่พลับพลา จากนั้นพระองค์ได้ทรงหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ำเต้าทองคำ) ประกาศแก่เทพยดาฟ้าดิน ประกาศอิสรภาพไม่ยอมขึ้นกับหงสาวดีอีกต่อไป ทรงตรัสว่า
"ขออัญเชิญเทพยดา อันมีมหิทธิฤทธิ์ ทิพยจักขุ ทิพยโสต จงลงมาเป็นทิพย์พยาน ด้วยพระเจ้าหงสาวดีคิดไม่ซื่อ ประพฤติพาลทุจริต เสียสามัคคีรสธรรม นับแต่บัดนี้ กรุงพระมหานครศรีอโยธยาและหงสาวดี หาได้เป็นสุวรรณปฐพีเดียวกันเฉกเช่นกาลก่อน ขาดกันแต่นี้ไป ตราบชั่วกัลปาวสาน"
จากนั้นพระองค์ได้ตรัสถามชาวเมืองแครงว่าจะเข้าข้างฝ่ายใด พวกมอญทั้งปวงต่างเข้ากับฝ่ายไทย สมเด็จพระนเรศวรจึงให้จับเจ้าเมืองกรมการพม่าแล้วเอาเมืองแครงเป็นที่ตั้งประชุมทัพ เมื่อจัดกองทัพเสร็จก็ทรงยกทัพจากเมืองแครงไปยังเมืองหงสาวดีเมื่อวันแรม 3 ค่ำ เดือน 6" class="scaledImageFitWidth img" height="403" src="https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/c0.0.403.403/p403x403/25983_453602774694006_1992383525_n.jpg" style="border: 0px; height: auto; min-height: 100%; position: relative; width: 403px;" width="403" /></div>
</a></div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-50900550795143983352013-02-18T19:46:00.002-08:002013-02-18T19:46:50.844-08:00วันที่ระลึกในวาระที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาของพม่า<br />
<div class="aboveUnitContent" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px;">
<div class="userContentWrapper">
<div class="_wk" style="font-size: 15px; line-height: 18px;">
<span class="userContent" style="background-color: black;"><span style="color: white;"><b>18มกราคม วันกองทัพไทย วันที่ระลึกในวาระที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาของพม่า</b><br />วันกองทัพไทย เป็นวันที่ระลึกในวาระที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาของพม่า โดยถือเอาวันที่ 18 มกราคม ของทุกปีเ<span class="text_exposed_show" style="display: inline;">ป็นวันกองทัพไทย ตามการคำนวณจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ที่ระบุว่า พระองค์กระทำยุทธหัตถี ในวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง จ.ศ. 954 คำนวณได้ ตรงกับวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2135<br /><br />ในปี พ.ศ. 2135 พระเจ้าหงสาวดี นันทบุเรง โปรดให้พระมหาอุปราชา นำกองทัพทหารสองแสนสี่หมื่นคน มาตีกรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวร ทรงทราบว่า พม่าจะยกทัพใหญ่มาตี จึงทรงเตรียมไพร่พล มีกำลังหนึ่งแสนคนเดินทางออกจากบ้านป่าโมกไปสุพรรณบุรี ข้ามน้ำตรงท่าท้าวอู่ทอง และตั้งค่ายหลวงบริเวณหนองสาหร่าย<br /><br />เช้าของวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเครื่องพิชัยยุทธ สมเด็จพระนเรศวรทรงช้าง นามว่า เจ้าพระยาไชยานุภาพ ส่วนพระสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงช้างนามว่า เจ้าพระยาปราบไตรจักร ช้างทรงของทั้งสองพระองค์นั้นเป็นช้างชนะงา คือช้างมีงาที่ได้รับการฝึกให้รู้จักการต่อสู้มาแล้วหรือเคยผ่านสงครามชนช้าง ชนะช้างตัวอื่นมาแล้ว ซึ่งเป็นช้างที่กำลังตกมัน ในระหว่างการรบจึงวิ่งไล่ตามพม่าหลงเข้าไปในแดนพม่า มีเพียงทหารรักษาพระองค์และจาตุรงค์บาทเท่านั้นที่ติดตามไปทัน<br /><br />สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงพระคชสารอยู่ในร่มไม้กับเหล่าเท้าพระยา จึงทราบได้ว่าช้างทรงของสองพระองค์หลงถลำเข้ามาถึงกลางกองทัพ และตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกแล้ว แต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบของสมเด็จพระนเรศวร ทรงเห็นว่าเป็นการเสียเปรียบข้าศึกจึงไสช้างเข้าไปใกล้ แล้วตรัสถามด้วยคุ้นเคยมาก่อนแต่วัยเยาว์ว่า<br />"พระเจ้าพี่เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด ภายหน้าไปไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่จะได้ยุทธหัตถีแล้ว"<br /><br />พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไสช้างนามว่า พลายพัทธกอเข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาเข้าที่อังสะขวา สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง<br /><br />ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถทรงฟันเจ้าเมืองจาปะโรเสียชีวิตเช่นกัน ทหารพม่าเห็นว่าแพ้แน่แล้ว จึงใช้ปืนระดมยิงใส่สมเด็จพระนเรศวรได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้น ทัพหลวงไทยตามมาช่วยทัน จึงรับทั้งสองพระองค์กลับพระนคร พม่าจึงยกทัพกลับกรุงหงสาวดีไป นับแต่นั้นมาก็ไม่มีกองทัพใดกล้ายกมากล้ำกรายกรุงศรีอยุธยาอีกเป็นระยะเวลาอีกยาวนาน<br /><br />เดิมนั้นกระทรวงกลาโหมได้กำหนดให้วันที่ 8 เมษายนของทุกปีเป็นวันกองทัพไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2523 ได้เปลี่ยนโดยให้ถือเอาวันที่ 25 มกราคม เป็นวันกองทัพไทย ตามมติของคณะรัฐมนตรีในสมัยนั้น ภายหลังได้มีนักประวัติศาสตร์หลายท่านได้ตรวจสอบ และพบว่าวันที่ทรงกระทำยุทธหัตถีนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ตรงกับวันที่ 25 มกราคม แต่น่าจะตรงกับวันที่ 18 มกราคม ปีดังกล่าว ทางราชการยังคงถือเอาวันที่ 25 มกราคม เป็นวันกองทัพไทยต่อไป จนกระทั่งวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2549 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ให้เปลี่ยนแปลงกำหนดวันกองทัพไทยจากวันที่ 25 มกราคม ของทุกปีเป็นวันที่ 18 มกราคม ของทุกปี และอนุมัติให้เป็นวันหยุดราชการของกระทรวงกลาโหมตามหลักการเดิม</span></span></span></div>
</div>
</div>
<div class="photoUnit clearfix" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 0px -15px; overflow: hidden; position: relative; zoom: 1;">
<div class="_53s uiScaledThumb photo photoWidth1" data-cropped="1" data-gt="{"fbid":"454049387982678"}" style="float: left; overflow: hidden; position: relative;">
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=454049387982678&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash3%2F736421_454049387982678_1783917566_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash3%2F23337_454049387982678_1783917566_n.jpg&size=1600%2C1067&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=454049387982678&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="cursor: pointer; text-decoration: initial;"></a><br />
<div class="uiScaledImageContainer photoWrap" style="height: 403px; margin-left: 3px; overflow: hidden; position: relative; width: 403px;">
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=454049387982678&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash3%2F736421_454049387982678_1783917566_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash3%2F23337_454049387982678_1783917566_n.jpg&size=1600%2C1067&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=454049387982678&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="cursor: pointer; text-decoration: initial;"><img alt="รูปภาพ : 18มกราคม วันกองทัพไทย วันที่ระลึกในวาระที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาของพม่า
วันกองทัพไทย เป็นวันที่ระลึกในวาระที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาของพม่า โดยถือเอาวันที่ 18 มกราคม ของทุกปีเป็นวันกองทัพไทย ตามการคำนวณจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ที่ระบุว่า พระองค์กระทำยุทธหัตถี ในวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง จ.ศ. 954 คำนวณได้ ตรงกับวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2135
ในปี พ.ศ. 2135 พระเจ้าหงสาวดี นันทบุเรง โปรดให้พระมหาอุปราชา นำกองทัพทหารสองแสนสี่หมื่นคน มาตีกรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวร ทรงทราบว่า พม่าจะยกทัพใหญ่มาตี จึงทรงเตรียมไพร่พล มีกำลังหนึ่งแสนคนเดินทางออกจากบ้านป่าโมกไปสุพรรณบุรี ข้ามน้ำตรงท่าท้าวอู่ทอง และตั้งค่ายหลวงบริเวณหนองสาหร่าย
เช้าของวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเครื่องพิชัยยุทธ สมเด็จพระนเรศวรทรงช้าง นามว่า เจ้าพระยาไชยานุภาพ ส่วนพระสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงช้างนามว่า เจ้าพระยาปราบไตรจักร ช้างทรงของทั้งสองพระองค์นั้นเป็นช้างชนะงา คือช้างมีงาที่ได้รับการฝึกให้รู้จักการต่อสู้มาแล้วหรือเคยผ่านสงครามชนช้าง ชนะช้างตัวอื่นมาแล้ว ซึ่งเป็นช้างที่กำลังตกมัน ในระหว่างการรบจึงวิ่งไล่ตามพม่าหลงเข้าไปในแดนพม่า มีเพียงทหารรักษาพระองค์และจาตุรงค์บาทเท่านั้นที่ติดตามไปทัน
สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงพระคชสารอยู่ในร่มไม้กับเหล่าเท้าพระยา จึงทราบได้ว่าช้างทรงของสองพระองค์หลงถลำเข้ามาถึงกลางกองทัพ และตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกแล้ว แต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบของสมเด็จพระนเรศวร ทรงเห็นว่าเป็นการเสียเปรียบข้าศึกจึงไสช้างเข้าไปใกล้ แล้วตรัสถามด้วยคุ้นเคยมาก่อนแต่วัยเยาว์ว่า
"พระเจ้าพี่เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด ภายหน้าไปไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่จะได้ยุทธหัตถีแล้ว"
พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไสช้างนามว่า พลายพัทธกอเข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาเข้าที่อังสะขวา สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง
ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถทรงฟันเจ้าเมืองจาปะโรเสียชีวิตเช่นกัน ทหารพม่าเห็นว่าแพ้แน่แล้ว จึงใช้ปืนระดมยิงใส่สมเด็จพระนเรศวรได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้น ทัพหลวงไทยตามมาช่วยทัน จึงรับทั้งสองพระองค์กลับพระนคร พม่าจึงยกทัพกลับกรุงหงสาวดีไป นับแต่นั้นมาก็ไม่มีกองทัพใดกล้ายกมากล้ำกรายกรุงศรีอยุธยาอีกเป็นระยะเวลาอีกยาวนาน
เดิมนั้นกระทรวงกลาโหมได้กำหนดให้วันที่ 8 เมษายนของทุกปีเป็นวันกองทัพไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2523 ได้เปลี่ยนโดยให้ถือเอาวันที่ 25 มกราคม เป็นวันกองทัพไทย ตามมติของคณะรัฐมนตรีในสมัยนั้น ภายหลังได้มีนักประวัติศาสตร์หลายท่านได้ตรวจสอบ และพบว่าวันที่ทรงกระทำยุทธหัตถีนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ตรงกับวันที่ 25 มกราคม แต่น่าจะตรงกับวันที่ 18 มกราคม ปีดังกล่าว ทางราชการยังคงถือเอาวันที่ 25 มกราคม เป็นวันกองทัพไทยต่อไป จนกระทั่งวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2549 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ให้เปลี่ยนแปลงกำหนดวันกองทัพไทยจากวันที่ 25 มกราคม ของทุกปีเป็นวันที่ 18 มกราคม ของทุกปี และอนุมัติให้เป็นวันหยุดราชการของกระทรวงกลาโหมตามหลักการเดิม" class="scaledImageFitWidth img" height="403" src="https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/c100.0.403.403/p403x403/23337_454049387982678_1783917566_n.jpg" style="border: 0px; height: auto; min-height: 100%; position: relative; width: 403px;" width="403" /></a></div>
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=454049387982678&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash3%2F736421_454049387982678_1783917566_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash3%2F23337_454049387982678_1783917566_n.jpg&size=1600%2C1067&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=454049387982678&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="cursor: pointer; text-decoration: initial;">
</a></div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-21566309773218844472013-02-18T19:23:00.003-08:002013-02-18T19:23:21.953-08:00พิธีโล้ชิงช้า ในพระราชพิธีตรียัมปวาย ความตื่นเต้นหวาดเสียวของคนในอดีต<br />
<div class="aboveUnitContent" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px;">
<div class="userContentWrapper">
<div class="_wk" style="font-size: 15px; line-height: 18px;">
<span class="userContent" style="background-color: black; color: white;"><b>พิธีโล้ชิงช้า ในพระราชพิธีตรียัมปวาย ความตื่นเต้นหวาดเสียวของคนในอดีต</b><br /><br />พิธีโล้ชิงช้า เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย เป็นการต้อนรับพระอิศวรซึ่งเป็นหนึ่งในสามเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อกันว่าพระอิศวรจะเสด็จลงสู่โลกในวันขึ<span class="text_exposed_show" style="display: inline;">้นเจ็ดค่ำเดือนยี่ วันนั้นจะมีการแห่พระเป็นเจ้าไปถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัว<br /><br />เมื่อพระยายืนชิงช้า ไปถึงเสาชิงช้า ก็จะเข้าไปนั่งในโรงราชพิธี จากนั้นให้ผู้ที่จะโล้ชิงช้าขึ้นชิงช้าทีละ 4 คน(โล้ 3 กระดาน รวมเป็น 12 คน) โดยมีเชือกที่ถือยึดไว้แน่นทั้งสี่ด้าน สองคนหันหน้าเข้าหากัน พนมมืออยู่กลางกระดาน มือสอดเชือกไว้ อีกสองคนอยู่หัวท้ายมีเชือกจับมั่นคง ถีบโล้ชิงช้าเพื่อฉวยเงินรางวัล 1 ตำลึง<br /><br />ส่วนการที่จะฉวยเอาเงินรางวัลได้นั้น คนที่อยู่หัวกระดานเป็นคนฉวย โดยเงินนั้นผูกแขวนไว้กับฉัตรสูงที่ปักไว้แล้วมีคันทวยยื่นออกไประยะห่างพอที่จะโล้ชิงช้ามาถึงได้ คนดูที่อยู่ข้างล่างก็ "ตีปีก" เชียร์กันอย่างสนุกสนาน<br /><br />การโล้ชิงช้านี้สำคัญอยู่ที่คนท้าย คือจะต้องเล่นตลก คือพอคนหน้าจะคาบถุงเงิน คนท้ายจะทำกระดานโล้ ให้เบี่ยงไปเสียบ้าง ทำกระดานโล้ให้เลยถุงเงินเสียบ้าง จึงจะเรียกเสียงฮา จากคนดูได้<br /><br />พราหมณ์โล้ชิงช้าแล้วก็ตกลงมาตายทุกปีเป็นที่น่าหวาดเสียวมาก แต่พวกเขาถือว่าได้บุญมากก็เลยไม่ค่อยกลัวตายกัน<br />ต่อมาก็ทอนเสาให้สั้นลงก็ยังตกลงมาตายอีก ก็เลยต้องยกเลิกไปในที่สุด สำหรับเรื่องเล่าปากต่อปากว่า ถ้าใครโล้ชิงช้าแล้วตกลงมาจะถูก "ฝัง" ไว้ที่ใต้ชิงช้านั้น เรื่องนี้ไม่เคยปรากฏว่ามีการตกหรือได้ฝังใครเลย และไม่มีตำราเล่มไหนบอกไว้ทั้งนั้น คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดๆ ติดมาจากการฝังหลักเมืองมากกว่า<br /><br /><br />พิธีโล้ชิงช้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่1 และได้ยกเลิกไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ปัจจุบันการประกอบพระราชพิธีนี้จะกระทำเป็นการภายในเทวสถานเท่านั้น</span></span></div>
</div>
</div>
<div class="photoUnit clearfix" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 0px -15px; overflow: hidden; position: relative; zoom: 1;">
<div class="_53s uiScaledThumb photo photoWidth1" data-cropped="1" data-gt="{"fbid":"455843117803305"}" style="float: left; overflow: hidden; position: relative;">
<span style="background-color: black; color: white;"><a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=455843117803305&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-snc6%2F774148_455843117803305_108602690_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F71820_455843117803305_108602690_n.jpg&size=2031%2C1143&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=455843117803305&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="cursor: pointer; text-decoration: initial;"></a></span><br />
<div class="uiScaledImageContainer photoWrap" style="height: 403px; margin-left: 3px; overflow: hidden; position: relative; width: 403px;">
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=455843117803305&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-snc6%2F774148_455843117803305_108602690_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F71820_455843117803305_108602690_n.jpg&size=2031%2C1143&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=455843117803305&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: initial;"><img alt="รูปภาพ : พิธีโล้ชิงช้า ในพระราชพิธีตรียัมปวาย ความตื่นเต้นหวาดเสียวของคนในอดีต
พิธีโล้ชิงช้า เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย เป็นการต้อนรับพระอิศวรซึ่งเป็นหนึ่งในสามเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อกันว่าพระอิศวรจะเสด็จลงสู่โลกในวันขึ้นเจ็ดค่ำเดือนยี่ วันนั้นจะมีการแห่พระเป็นเจ้าไปถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อพระยายืนชิงช้า ไปถึงเสาชิงช้า ก็จะเข้าไปนั่งในโรงราชพิธี จากนั้นให้ผู้ที่จะโล้ชิงช้าขึ้นชิงช้าทีละ 4 คน(โล้ 3 กระดาน รวมเป็น 12 คน) โดยมีเชือกที่ถือยึดไว้แน่นทั้งสี่ด้าน สองคนหันหน้าเข้าหากัน พนมมืออยู่กลางกระดาน มือสอดเชือกไว้ อีกสองคนอยู่หัวท้ายมีเชือกจับมั่นคง ถีบโล้ชิงช้าเพื่อฉวยเงินรางวัล 1 ตำลึง
ส่วนการที่จะฉวยเอาเงินรางวัลได้นั้น คนที่อยู่หัวกระดานเป็นคนฉวย โดยเงินนั้นผูกแขวนไว้กับฉัตรสูงที่ปักไว้แล้วมีคันทวยยื่นออกไประยะห่างพอที่จะโล้ชิงช้ามาถึงได้ คนดูที่อยู่ข้างล่างก็ "ตีปีก" เชียร์กันอย่างสนุกสนาน
การโล้ชิงช้านี้สำคัญอยู่ที่คนท้าย คือจะต้องเล่นตลก คือพอคนหน้าจะคาบถุงเงิน คนท้ายจะทำกระดานโล้ ให้เบี่ยงไปเสียบ้าง ทำกระดานโล้ให้เลยถุงเงินเสียบ้าง จึงจะเรียกเสียงฮา จากคนดูได้
พราหมณ์โล้ชิงช้าแล้วก็ตกลงมาตายทุกปีเป็นที่น่าหวาดเสียวมาก แต่พวกเขาถือว่าได้บุญมากก็เลยไม่ค่อยกลัวตายกัน
ต่อมาก็ทอนเสาให้สั้นลงก็ยังตกลงมาตายอีก ก็เลยต้องยกเลิกไปในที่สุด สำหรับเรื่องเล่าปากต่อปากว่า ถ้าใครโล้ชิงช้าแล้วตกลงมาจะถูก "ฝัง" ไว้ที่ใต้ชิงช้านั้น เรื่องนี้ไม่เคยปรากฏว่ามีการตกหรือได้ฝังใครเลย และไม่มีตำราเล่มไหนบอกไว้ทั้งนั้น คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดๆ ติดมาจากการฝังหลักเมืองมากกว่า
พิธีโล้ชิงช้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่1 และได้ยกเลิกไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ปัจจุบันการประกอบพระราชพิธีนี้จะกระทำเป็นการภายในเทวสถานเท่านั้น" class="scaledImageFitWidth img" height="403" src="https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/c312.0.403.403/p403x403/71820_455843117803305_108602690_n.jpg" style="border: 0px; height: auto; min-height: 100%; position: relative; width: 403px;" width="403" /></a></div>
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=455843117803305&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-snc6%2F774148_455843117803305_108602690_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F71820_455843117803305_108602690_n.jpg&size=2031%2C1143&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=455843117803305&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="background-color: white; color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: initial;">
</a><div style="background-color: white; color: #333333;">
</div>
</div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-29874601619691191182013-02-18T19:22:00.000-08:002013-02-18T19:22:09.722-08:00อีอยู่ นักโทษประหาร เรื่องจริงของนักโทษประหารในสมัยรัชกาลที่ 5 <br />
<div class="aboveUnitContent" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px;">
<div class="userContentWrapper">
<div class="_wk" style="font-size: 15px; line-height: 18px;">
<span class="userContent" style="background-color: black;"><span style="color: white;">อีอยู่ นักโทษประหาร เรื่องจริงของนักโทษประหารในสมัยรัชกาลที่ 5<br /><br />“ ฆ่าฉันเสียเร็วๆ ฆ่าฉันเสียเร็วๆ ” เสียงตะโกนจากนักโทษประหารซึ่งเป็นหญิง เพชฌฆาตหกคนยังคงร่ายรำดาบ ถอยหน้าถอยหลังอยู่เบื้องหลังนักโทษอีกครู่ ก่อนที่เพชฌฆาตมือหนึ่งจะวิ่งเข้<span class="text_exposed_show" style="display: inline;">าฟันคออย่างแรง จนศีรษะขาด เลือดพุ่งกระฉูด ผู้คนที่มุงดูการประหารจึงค่อยเริ่ม แยกย้ายกันกลับไป เสียงพึมพำดังจับความได้ว่า ต่างก็พอใจที่ผู้ตายได้รับกรรมที่กระทำไว้แล้ว แม้แต่ในหมู่ญาติพี่น้องของหล่อนเอง!<br /><br />เพชฌฆาตยังคงทำงานต่อไปด้วยการตัดข้อเท้าซึ่งมีโซ่ตรวนพันธนาการไว้ และตัดศพออกเป็นชิ้น แล่เนื้อออกจากกระดูก ทิ้งตับไตไส้พุงไว้เป็นทานแก่แร้งกา ส่วนศีรษะเอาไปเสียบไม้ไผ่ปักประจานไว้ให้มองเห็นได้แต่ไกล เธอเป็นใครทำผิดอะไรไว้จึงต้องรับโทษถึงเพียงนี้..?<br />................<br />ย้อนหลังไปราวเดือนเศษ ที่บ้านของพระบรรฦาสิงหนาท ภรรยาคืออำแดงอยู่ ลักลอบเป็นชู้กับทาสในเรือนชื่อ ไฮ้ มั่วสุมกันอยู่ถึงสองปีเศษโดยตัวสามีไม่รู้เรื่อง ซึ่งก็คงยังไม่เป็นเรื่องเป็นราวอะไร ถ้าไม่เป็นเพราะอ้ายไฮ้เอง เกิดไปลักลอบได้เสียกับนางทาสอีกคนหนึ่งชื่อ เกลี้ยง หลังจากทั้งคู่สมสู่กันได้สามเดือน ความเรื่องของอำแดงอยู่เป็นชู้กับอ้ายไฮ้ก็เกิดแตกขึ้นมา..<br /><br />วันนั้นพระบรรฦาฯบังเอินกลับบ้านผิดเวลา จึงจับได้คาเตียง ก็เลยทำโทษอ้ายไฮ้ด้วยการโบย 50ที แล้วล่ามโซ่ไว้ที่ครัวไฟ แต่พระบรรฦาจะทำอะไรอำแดงอยู่บ้าง อันนี้ไม่ได้มีการบันทึก ไว้ ผ่านไปห้าวัน อำแดงอยู่ค่อยๆสืบเสาะหาว่าใครไปรายงานคุณพระผู้เป็นสามี ก็สงสัยว่า อีเกลี้ยงนี่แหละที่น่าจะเอาความไปบอกสามีตนแน่ ประจวบกับวันนั้นกินเหล้า เข้าไปเมาจัดด้วย จึงเรียกนางทาสคนนี้เข้ามาถาม แต่อีเกลี้ยงไม่ยอมรับ นางอยู่จึงเอาไม้แสมตีอีเกลี้ยงเข้าไปหลายที ฐานสงสัยแล้วไม่ยอมรับ<br /><br />คืนนั้น อีเกลี้ยงไม่รู้ว่าคิดอะไรเหมือนกัน แต่คงไม่พ้นเรื่องชู้รักดันมีรักซ้อนกับเมียนาย แอบเข้าไปที่ระเบียงครัวซึ่งอ้ายไฮ้โดนล่ามโซ่นอนหลับอยู่ จัดการบีบหมับเข้าที่กล่องดวงใจของอ้ายไฮ้อย่างแรงจนตื่น เช้าขึ้นอ้ายไฮ้ก็เลยสำออยไปฟ้องอำแดงอยู่ อำแดงอยู่จึงเรียกอีเกลี้ยงมาถามอีก ว่าทำไมไปบีบของสำคัญของอ้ายไฮ้ คราวนี้เจ้าตัวปฏิเสธเรื่องไปบีบของลับอ้ายไฮ้ แต่ดัน กลับเล่าเรื่องที่ตัวเองได้เสียกับอ้ายไฮ้แทน<br /><br />อำแดงอยู่ เต้นผางสั่งตีตรวนอีเกลี้ยงทันที แล้วเอาไม้ไผ่ขนาดสามนิ้วยาวศอกเศษ ตีอีเกลี้ยงอีกราวสี่ห้าที ทำแบบนี้ตลอดมาหลายวัน จนวันหนึ่ง อำแดงอยู่ซึ่งล่อเหล้ามาตั้งแต่เช้าแล้ว ก็ใช้ไม้แสมตีอีเกลี้ยงอีก พอตกบ่ายก็แก้ตรวน แล้วสั่งให้ไปหุงข้าว ขณะที่อีเกลี้ยงกำลังนั่งยองๆหุงข้าวอยู่ อำแดงอยู่เข้ามาข้างหลัง ถีบอีเกลี้ยงล้มลงแล้วกระชากผ้าถุงของนางทาสออก เอาไม้แสมที่กำลังติดไฟแดงๆ ทิ่มอวัยวะเพศของนางทาส สองสามที ตกบ่ายราวสี่โมงเศษ ก็เรียกทาสชายหญิงคนอื่นขึ้นมาจับอีเกลี้ยงขึงพรืด จุดไม้ขีดไฟเผาขนที่ลับของอีเกลี้ยงซ้ำอีก<br /><br />ตอนเช้าของวันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2424 ขณะที่อีเกลี้ยงนางทาสวัย 57 เดินจะลงบันไดไปอาบน้ำ นางอยู่ก็เอาเท้าถีบเธอตกบันได แขนซ้ายหัก แล้วสั่งทาสให้ฉุดกระชากอีเกลี้ยงขึ้นไปบนชานเรือนอีก จนราวสามโมงเช้าเศษของวันนั้น อีเกลี้ยงซึ่งสุดจะทนกับความเจ็บปวดจากการทรมาน จึงขาดใจตาย<br /><br />เรื่องนี้ พระบรรฦาฯ ทราบเพียงว่าอีเกลี้ยงตายเพราะเป็นไข้ประจุบันเท่านั้น จึงให้อำแดงอยู่บัญชาการทาสอื่นห่อศพให้เรียบร้อย แล้วหามไปให้สัปเหร่อฝัง ตอนแรกทาสที่นำศพมาก็ไม่ยอมแก้ผ้าห่อศพ สัปเหร่อเลยไม่ยอมฝัง ในที่สุดพวกทาสก็ต้องยอมให้สัปเหร่อ ดูศพก่อน แต่พอได้ดูศพแล้ว จรรยาบรรณสัปเหร่อบอกว่า ไม่ยอมให้ฝัง !<br /><br />ปรากฏว่ามีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อหนูไปแจ้งความ จึงเกิดการชันสูตรศพขึ้นก็พบว่า “ ศพอีเกลี้ยงนั้นกระหม่อมยุบกว้าง 2 นิ้ว หน้าบวมช้ำดำเขียว หูข้างซ้ายช้ำบวมมีเลือดไหลออกมาจากหู ยังเป็นคราบติดอยู่ ต้นแขนริมศอกขวา บวมช้ำ และกระดูกหัก ต้นแขนซ้ายบวมช้ำกระดูกหัก อกบวมช้ำ โตกลมหนึ่งนิ้ว สะโพกข้างขวาบวมช้ำดำเขียวเต็มทั้งสะโพก นอกจากนั้นมีแผลที่เกิดจากการตีด้วยไม้รวมเก้าแผล ”<br /><br />หลังการสอบสวน อำแดงอยู่โดนมาตรการยึดทรัพย์ทั้งหมด และมีพระบรมราชโองการให้ประหาร แต่ก่อนประหารต้องลงโทษเตือนวิญญาณให้จดจำไปถึงชาติหน้า ด้วยการเฆี่ยน 90ทีเสีย ก่อน จึงจะประหาร คำตัดสินเกี่ยวกับคดีนางอยู่และผู้เกี่ยวข้องนี้ เมื่อนำทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นด้วยแต่ได้ทรงทักท้วงบ้างบางกรณี คือ<br /><br />ให้เฆี่ยนทาสที่เคยช่วยจับขึงพรืดอีเกลี้ยง ให้อีอยู่ ( เปลี่ยนคำนำหน้าจากอำแดงเพราะทำความผิด ) ทำทารุณ คนละ 60 ที ส่วนทาสคนอื่นที่รู้เห็นเหตุการณ์แล้วไม่ยอมแจ้งทาง การให้เฆี่ยนคนละ 30 ที เรื่องนี้ทรงพิจารณาว่า คนเป็นทาสก็ต้องฟังนาย และเรื่องก็เกิดในทันที จึงให้ภาคทัณฑ์ไว้ เว้นคนที่เอาศพไปฝัง และพยายามปกปิดไม่ให้ตรวจศพ ให้ลงโทษตามที่ว่ามา<br /><br />อ้ายไฮ้ โดนตัดสินให้เฆี่ยน 50 ที แต่ทรงเห็นว่าความผิดของอ้ายไฮ้คือฐานชู้สาว และก็โดนนายเงินคือพระบรรฦาฯลงโทษไปแล้ว จึงโปรดให้ยกโทษเสีย<br /><br />ส่วนพระบรรฦาปรับเป็นเงิน 11 ตำลึง กึ่งสลึงเฟื้อง 630 เบี้ยเป็นพิไนยหลวง แต่ในฐานที่รู้อยู่แต่ไม่สนใจ ปกปิดเรื่องศพ เรื่องความร้ายในแผ่นดิน<br /><br />“ แต่นายหนูผู้มีกตัญญูต่อแผ่นดินมาว่ากล่าวขึ้น จึงได้ทราบเรื่องกัน ” จึงทรงให้เพิ่มโทษปรับพระบรรฦาฯ แล้วนำมาให้เสียแก่นายหนู เป็นเงิน 1 ชั่ง 10 ตำลึงด้วย<br /><br />วันที่ประหารอีอยู่คือ วันเสาร์ เดือน11 แรม 7 ค่ำ ตรงกับ วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม 2424 เป็นเวลากว่าร้อยปีล่วงมาแล้ว<br /><br />ต้นเรื่องนั้นมาจากหนังสือราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษ ออกเมื่อกรุงเทพมหานครมีอายุครบ๑๐๐ปี และบันทึกของนาย Carl Bock นักธรรมชาติวิทยาชาวนอร์เวย์ ที่เดินทางเข้ามาสำรวจดินแดนไทยและได้ไปดูการประหารอีอยู่ด้วย<br /><br />จากหนังสือ หญิงชาวสยาม โดย เอนก นาวิกมูล<br /><br />ภาพประกอบ:ทาสในสมัยรัชกาลที่5</span></span></span></div>
</div>
</div>
<div class="photoUnit clearfix" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 0px -15px; overflow: hidden; position: relative; zoom: 1;">
<div class="_53s uiScaledThumb photo photoWidth1" data-cropped="1" data-gt="{"fbid":"456369004417383"}" style="float: left; overflow: hidden; position: relative;">
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=456369004417383&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F775731_456369004417383_1103386790_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-snc6%2F735036_456369004417383_1103386790_n.jpg&size=1531%2C1103&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=456369004417383&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="cursor: pointer;"><div class="uiScaledImageContainer photoWrap" style="height: 403px; margin-left: 3px; overflow: hidden; position: relative; width: 403px;">
<img alt="รูปภาพ : อีอยู่ นักโทษประหาร เรื่องจริงของนักโทษประหารในสมัยรัชกาลที่ 5
“ ฆ่าฉันเสียเร็วๆ ฆ่าฉันเสียเร็วๆ ” เสียงตะโกนจากนักโทษประหารซึ่งเป็นหญิง เพชฌฆาตหกคนยังคงร่ายรำดาบ ถอยหน้าถอยหลังอยู่เบื้องหลังนักโทษอีกครู่ ก่อนที่เพชฌฆาตมือหนึ่งจะวิ่งเข้าฟันคออย่างแรง จนศีรษะขาด เลือดพุ่งกระฉูด ผู้คนที่มุงดูการประหารจึงค่อยเริ่ม แยกย้ายกันกลับไป เสียงพึมพำดังจับความได้ว่า ต่างก็พอใจที่ผู้ตายได้รับกรรมที่กระทำไว้แล้ว แม้แต่ในหมู่ญาติพี่น้องของหล่อนเอง!
เพชฌฆาตยังคงทำงานต่อไปด้วยการตัดข้อเท้าซึ่งมีโซ่ตรวนพันธนาการไว้ และตัดศพออกเป็นชิ้น แล่เนื้อออกจากกระดูก ทิ้งตับไตไส้พุงไว้เป็นทานแก่แร้งกา ส่วนศีรษะเอาไปเสียบไม้ไผ่ปักประจานไว้ให้มองเห็นได้แต่ไกล เธอเป็นใครทำผิดอะไรไว้จึงต้องรับโทษถึงเพียงนี้..?
................
ย้อนหลังไปราวเดือนเศษ ที่บ้านของพระบรรฦาสิงหนาท ภรรยาคืออำแดงอยู่ ลักลอบเป็นชู้กับทาสในเรือนชื่อ ไฮ้ มั่วสุมกันอยู่ถึงสองปีเศษโดยตัวสามีไม่รู้เรื่อง ซึ่งก็คงยังไม่เป็นเรื่องเป็นราวอะไร ถ้าไม่เป็นเพราะอ้ายไฮ้เอง เกิดไปลักลอบได้เสียกับนางทาสอีกคนหนึ่งชื่อ เกลี้ยง หลังจากทั้งคู่สมสู่กันได้สามเดือน ความเรื่องของอำแดงอยู่เป็นชู้กับอ้ายไฮ้ก็เกิดแตกขึ้นมา..
วันนั้นพระบรรฦาฯบังเอินกลับบ้านผิดเวลา จึงจับได้คาเตียง ก็เลยทำโทษอ้ายไฮ้ด้วยการโบย 50ที แล้วล่ามโซ่ไว้ที่ครัวไฟ แต่พระบรรฦาจะทำอะไรอำแดงอยู่บ้าง อันนี้ไม่ได้มีการบันทึก ไว้ ผ่านไปห้าวัน อำแดงอยู่ค่อยๆสืบเสาะหาว่าใครไปรายงานคุณพระผู้เป็นสามี ก็สงสัยว่า อีเกลี้ยงนี่แหละที่น่าจะเอาความไปบอกสามีตนแน่ ประจวบกับวันนั้นกินเหล้า เข้าไปเมาจัดด้วย จึงเรียกนางทาสคนนี้เข้ามาถาม แต่อีเกลี้ยงไม่ยอมรับ นางอยู่จึงเอาไม้แสมตีอีเกลี้ยงเข้าไปหลายที ฐานสงสัยแล้วไม่ยอมรับ
คืนนั้น อีเกลี้ยงไม่รู้ว่าคิดอะไรเหมือนกัน แต่คงไม่พ้นเรื่องชู้รักดันมีรักซ้อนกับเมียนาย แอบเข้าไปที่ระเบียงครัวซึ่งอ้ายไฮ้โดนล่ามโซ่นอนหลับอยู่ จัดการบีบหมับเข้าที่กล่องดวงใจของอ้ายไฮ้อย่างแรงจนตื่น เช้าขึ้นอ้ายไฮ้ก็เลยสำออยไปฟ้องอำแดงอยู่ อำแดงอยู่จึงเรียกอีเกลี้ยงมาถามอีก ว่าทำไมไปบีบของสำคัญของอ้ายไฮ้ คราวนี้เจ้าตัวปฏิเสธเรื่องไปบีบของลับอ้ายไฮ้ แต่ดัน กลับเล่าเรื่องที่ตัวเองได้เสียกับอ้ายไฮ้แทน
อำแดงอยู่ เต้นผางสั่งตีตรวนอีเกลี้ยงทันที แล้วเอาไม้ไผ่ขนาดสามนิ้วยาวศอกเศษ ตีอีเกลี้ยงอีกราวสี่ห้าที ทำแบบนี้ตลอดมาหลายวัน จนวันหนึ่ง อำแดงอยู่ซึ่งล่อเหล้ามาตั้งแต่เช้าแล้ว ก็ใช้ไม้แสมตีอีเกลี้ยงอีก พอตกบ่ายก็แก้ตรวน แล้วสั่งให้ไปหุงข้าว ขณะที่อีเกลี้ยงกำลังนั่งยองๆหุงข้าวอยู่ อำแดงอยู่เข้ามาข้างหลัง ถีบอีเกลี้ยงล้มลงแล้วกระชากผ้าถุงของนางทาสออก เอาไม้แสมที่กำลังติดไฟแดงๆ ทิ่มอวัยวะเพศของนางทาส สองสามที ตกบ่ายราวสี่โมงเศษ ก็เรียกทาสชายหญิงคนอื่นขึ้นมาจับอีเกลี้ยงขึงพรืด จุดไม้ขีดไฟเผาขนที่ลับของอีเกลี้ยงซ้ำอีก
ตอนเช้าของวันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2424 ขณะที่อีเกลี้ยงนางทาสวัย 57 เดินจะลงบันไดไปอาบน้ำ นางอยู่ก็เอาเท้าถีบเธอตกบันได แขนซ้ายหัก แล้วสั่งทาสให้ฉุดกระชากอีเกลี้ยงขึ้นไปบนชานเรือนอีก จนราวสามโมงเช้าเศษของวันนั้น อีเกลี้ยงซึ่งสุดจะทนกับความเจ็บปวดจากการทรมาน จึงขาดใจตาย
เรื่องนี้ พระบรรฦาฯ ทราบเพียงว่าอีเกลี้ยงตายเพราะเป็นไข้ประจุบันเท่านั้น จึงให้อำแดงอยู่บัญชาการทาสอื่นห่อศพให้เรียบร้อย แล้วหามไปให้สัปเหร่อฝัง ตอนแรกทาสที่นำศพมาก็ไม่ยอมแก้ผ้าห่อศพ สัปเหร่อเลยไม่ยอมฝัง ในที่สุดพวกทาสก็ต้องยอมให้สัปเหร่อ ดูศพก่อน แต่พอได้ดูศพแล้ว จรรยาบรรณสัปเหร่อบอกว่า ไม่ยอมให้ฝัง !
ปรากฏว่ามีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อหนูไปแจ้งความ จึงเกิดการชันสูตรศพขึ้นก็พบว่า “ ศพอีเกลี้ยงนั้นกระหม่อมยุบกว้าง 2 นิ้ว หน้าบวมช้ำดำเขียว หูข้างซ้ายช้ำบวมมีเลือดไหลออกมาจากหู ยังเป็นคราบติดอยู่ ต้นแขนริมศอกขวา บวมช้ำ และกระดูกหัก ต้นแขนซ้ายบวมช้ำกระดูกหัก อกบวมช้ำ โตกลมหนึ่งนิ้ว สะโพกข้างขวาบวมช้ำดำเขียวเต็มทั้งสะโพก นอกจากนั้นมีแผลที่เกิดจากการตีด้วยไม้รวมเก้าแผล ”
หลังการสอบสวน อำแดงอยู่โดนมาตรการยึดทรัพย์ทั้งหมด และมีพระบรมราชโองการให้ประหาร แต่ก่อนประหารต้องลงโทษเตือนวิญญาณให้จดจำไปถึงชาติหน้า ด้วยการเฆี่ยน 90ทีเสีย ก่อน จึงจะประหาร คำตัดสินเกี่ยวกับคดีนางอยู่และผู้เกี่ยวข้องนี้ เมื่อนำทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นด้วยแต่ได้ทรงทักท้วงบ้างบางกรณี คือ
ให้เฆี่ยนทาสที่เคยช่วยจับขึงพรืดอีเกลี้ยง ให้อีอยู่ ( เปลี่ยนคำนำหน้าจากอำแดงเพราะทำความผิด ) ทำทารุณ คนละ 60 ที ส่วนทาสคนอื่นที่รู้เห็นเหตุการณ์แล้วไม่ยอมแจ้งทาง การให้เฆี่ยนคนละ 30 ที เรื่องนี้ทรงพิจารณาว่า คนเป็นทาสก็ต้องฟังนาย และเรื่องก็เกิดในทันที จึงให้ภาคทัณฑ์ไว้ เว้นคนที่เอาศพไปฝัง และพยายามปกปิดไม่ให้ตรวจศพ ให้ลงโทษตามที่ว่ามา
อ้ายไฮ้ โดนตัดสินให้เฆี่ยน 50 ที แต่ทรงเห็นว่าความผิดของอ้ายไฮ้คือฐานชู้สาว และก็โดนนายเงินคือพระบรรฦาฯลงโทษไปแล้ว จึงโปรดให้ยกโทษเสีย
ส่วนพระบรรฦาปรับเป็นเงิน 11 ตำลึง กึ่งสลึงเฟื้อง 630 เบี้ยเป็นพิไนยหลวง แต่ในฐานที่รู้อยู่แต่ไม่สนใจ ปกปิดเรื่องศพ เรื่องความร้ายในแผ่นดิน
“ แต่นายหนูผู้มีกตัญญูต่อแผ่นดินมาว่ากล่าวขึ้น จึงได้ทราบเรื่องกัน ” จึงทรงให้เพิ่มโทษปรับพระบรรฦาฯ แล้วนำมาให้เสียแก่นายหนู เป็นเงิน 1 ชั่ง 10 ตำลึงด้วย
วันที่ประหารอีอยู่คือ วันเสาร์ เดือน11 แรม 7 ค่ำ ตรงกับ วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม 2424 เป็นเวลากว่าร้อยปีล่วงมาแล้ว
ต้นเรื่องนั้นมาจากหนังสือราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษ ออกเมื่อกรุงเทพมหานครมีอายุครบ๑๐๐ปี และบันทึกของนาย Carl Bock นักธรรมชาติวิทยาชาวนอร์เวย์ ที่เดินทางเข้ามาสำรวจดินแดนไทยและได้ไปดูการประหารอีอยู่ด้วย
จากหนังสือ หญิงชาวสยาม โดย เอนก นาวิกมูล
ภาพประกอบ:ทาสในสมัยรัชกาลที่5" class="scaledImageFitWidth img" height="403" src="https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc6/c78.0.403.403/p403x403/735036_456369004417383_1103386790_n.jpg" style="border: 0px; height: auto; min-height: 100%; position: relative; width: 403px;" width="403" /></div>
</a></div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-20610979306669858522013-02-18T19:04:00.000-08:002013-02-18T19:04:12.077-08:00มารู้จักสายพันธ์ปลาคาร์ฟ เพื่อคนรักปลาตัวจริง <b>มารู้จักสายพันธ์ปลาคาร์ฟ เพื่อคนรักปลาตัวจริง</b><br />
แฟนซีคาร์พ กำเนิดมาจากการกลายพันธุ์ของ Magoi เมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้ว ปัจจุบันมีการผสมและคัดสายพันธุ์จนมีมากกว่า
80 สายพันธุ์
สายพันธุ์หลักๆ
Kohaku:
ปลา ที่มีลายแดงบนพื้นขาว กล่าวกันว่าคนเลี้ยงปลาคาร์พมักเริ่มต้นด้วยโคฮากุและลงท้ายที่โคฮากุ โคฮากุ ไทโชซันโชกุ และโชว่าซันโชกุ เป็นสายพันธุ์ที่คนนิยมที่สุด เรียกกันว่า Gosanke (Big 3)
Taisho Sanshoku:
ปลาที่มีแต้มดำบนลายโคฮากุ เพราะเกิดในยุคไทโชของญี่ปุ่น จึงเรียกว่าไทโชซันโชกุ เรียกสั้นๆว่าไทโชซังเก้ หรือซังเก้
Showa Sanshoku:
ปลาที่มีลายเป็นเส้นดำบนลายโคฮากุ เกิดในยุคโชว่าจึงเรียกว่าโชว่าซันโชกุ หรือโชว่า
Tancho:
ตัน โจ ปลาที่มีสีแดงเฉพาะเป็นดวงกลมตรงหัวของปลา ลายที่เหลือเป็นไปตามสายพันธุ์เช่น Tancho Kohaku, Doitsu Tancho Kohaku, Tancho Showa, Tancho Goshiki เป็นต้น
Utsuri mono:
อุทซูริ ปลาที่มีลายเส้นสีดำบนสีพื้นสีเดียว เช่น Shiro Utsuri (ขาว) Hi Utsuri (แดง) Ki Utsuri (เหลือง)
Bekko:
ซันเก้ที่ไม่มีแดง
Asagi:
ทั้งตัวมีสีฟ้าหรือสีคราม รอยต่อระหว่างเกล็ดลายเหมือนตาข่าย เป็นปลาดั้งเดิมของนิชิกิกอย
Shusui:
อาซากิด๊อยทส์ Doitsu
Koromo:
โคฮากุที่มีตาข่ายสีฟ้าบนส่วนที่เป็นลายสีแดง
Goshiki:
แปล ตรงตัวว่า 5 สี มีตาข่ายสีฟ้าบนลายโคฮากุ บางตัวมีตาข่ายเฉพาะส่วนที่เป็นสีขาว สีแดงและสีฟ้าที่เหลื่อมกันทำให้เกิดเป็นสีม่วงส่วนมากตรงบริเวณหัว เกล็ดไม่มันวาว ซึ่งทำให้ต่างจาก Kujyaku
Hikari Muji:
ปลาสีเดียวที่มีเกล็ดมันวาวเช่น Ogon, Platinum
Hikari Moyo:
คือ กลุ่มของสายพันธุ์ที่มีลวดลายบนสีพื้นมันวาว ทั้งนี้ยกเว้นลายดำของกลุ่มอุทซูริเช่น Hariwake-ลายสีทองบนสีพื้นแพล็ทตินั่ม, Kikusui-ฮาริวาเก้ด๊อยทส์ สีแดงจะเข้มกว่าฮาริวาเก้, Yamato Nishiki-ซันเก้ที่มีเกล็ดมันวาว, Heisei Nishiki-ซันเก้ด๊อยทส์ที่มีเกล็ดมันวาว, Kujyaku-โงชิกิที่มีเกล็ดมันวาว
Hikari Utsuri:
มีลายดำของอุทซูริบนสีพื้นมันวาวเช่น Kin Showa, Gin Shiro Utsuri, Kin Ki Utsuri
Matsuba:
ปลาที่มีสีดำกลางเกล็ด หากผิวมันจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มฮิคาริ หากผิวไม่มัน อยู่ในกลุ่มคาวาริ
Kin Ginrin:
ปลาที่มีเกล็ดแวววาวระยิบระยับเหมือนโรยด้วยกากเพชร
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-33890403800829082832013-02-18T19:02:00.002-08:002013-02-18T19:07:55.539-08:00สยาม ประเทศแรกในเอเชียที่มีรถราง<br />
<div class="aboveUnitContent" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px;">
<div class="userContentWrapper">
<div class="_wk" style="font-size: 15px; line-height: 18px;">
<span class="userContent" style="background-color: black; color: white;"><b>สยาม ประเทศแรกในเอเชียที่มีรถราง</b><br />ตอนที่สร้างถนนเจริญกรุงหรือที่ฝรั่งเรียกกันว่า "นิวโรด (New Road)" เสร็จในปี พ.ศ. 2407 มีผู้นิยมใช้สัญจรไปมามาก ฝรั่งหัวใส 2 คน ชื่อ จอห์น ลอฟตัส เป็นชาวอังกฤษ เข้ามารับราชการ เป็นช่างทำแผนที่กับอันเดรีย<span class="text_exposed_show" style="display: inline;"> ดูเปล ริเตธิเชอเลียว ชาวเดนมาร์ก ซึ่งเข้ามารับราชการ เป็นกัปตันเรือพระที่นั่งเวสาตรี สังกัดกองทัพเรือ ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น พระยาชลยุทธโยธี เห็นว่าถ้าเปิดเดินรถโดยสาร ในถนนสายนี้ ก็จะเป็นธุรกิจที่ดีไม่น้อย และเพื่อให้แน่ใจ จึงทำการสำรวจ หาตัวเลขกันก่อน<br /><br />วิธีการที่ฝรั่งทั้ง 2 ชาติ เอามาสำรวจนี้ นับว่าเก๋ไก๋ไม่เบา โดยเอาเม็ดมะขามใส่ชามใหญ่วางไว้ตรงกลาง แล้วเอาชามย่อมลงไปหน่อยมาอีก 2 ใบ วางไว้ข้างละใบ เมื่อคนเดินไปทางขวา ก็หยิบเม็ดมะขามใส่ลงไปในชามขวา เมื่อคนเดินไปทางซ้าย ก็หยิบเม็ดมะขามใส่ลงไปในชามซ้าย ทำการสำรวจอยู่แบบนี้อยู่ถึง 3 วัน จึงได้ตัวเลขว่า มีคนขึ้นล่องในนิวโรด วันละเท่าไร ซึ่งคงจะเป็นตัวเลขที่น่าสนใจทีเดียว เขาจึงร่วมกัน ยื่นขอสัปทานเดินรถรางหรือ "แตรมเวย์" (Tramway) คนไทยเรียกว่า "รถแตรม" ในปี พ.ศ. 2430 โดยยื่นรวม 7 สายทั่วกรุง เพื่อกันคนอื่นตามด้วย รัฐบาลได้ให้สัมปทานเป็นเวลา 50 ปี โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องสร้างสายที่ 1 ให้เสร็จภายในเวลา 5 ปี ส่วนอีก 6 สาย ต้องสร้างให้เสร็จในเวลา 7 ปี<br /><br />รถรางสายแรกเปิดบริการในวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2431 โดยเริ่มต้นจากบางคอแหลม ถนนตก ซึ่งตอนนั้นยังเป็นสวนอยู่ มาตามถนนเจริญกรุง สุดปลายทางที่ศาลหลักเมือง ข้างศาลายุทธนาธิการ หรือกระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน เป็นระยะทาง 6 ไมล์ (ประมาณ 10 - 12 กิโลเมตร) ใช้รถเล็ก 4 ล้อ เทียมด้วยม้า 2 คู่ และมีสถานีเปลี่ยนม้าเป็นระยะ แต่เมื่อคนเต็มคัน ม้าก็ต้องออกแรงลาก จนน้ำลายฟูมปาก ยิ่งตอนขึ้นสะพานบางทีม้าก็ลากไม่ไหว เป็นภาพที่น่าสงสารเป็นอันมาก<br /><br />ต่อ ๆ มาคนก็ขึ้นรถรางน้อยลงทุกที อาจจะเป็นเพราะคนไทยเรา เป็นคนขี้สงสาร ไม่อยากจะทรมานทารุณม้าก็เป็นได้ อีกทั้งค่ารถราง ในตอนนั้นก็แพงไม่เบา เก็บ 6 อัฐต่อระยะ 3 ไมล์ ส่วนผู้ที่นั่ง 'ผู้ที่นั่งอย่างวิเศษ' หรือชั้นพิเศษ เก็บอีกเท่าตัว เป็น 12 อัฐ ซึ่ง 63 อัฐ เท่ากับ 1 บาท<br /><br />เมื่อรถรางขาดทุน สองผู้บุกเบิก ก็ไปไม่ไหว ต้องขายกิจการ ให้บริษัท บางกอกแตรมเวย์ ซึ่งเป็นของคนอังกฤษดำเนินการต่อ โดยยังคงใช้ม้า ลากตามเดิม แล้วม้าก็ลากบริษัทรถรางไปไม่ไหวอีกราย ต้องขายต่อในปี พ.ศ. 2435<br /><br />ผู้ดำเนินกิจการรถรางรายใหม่ เป็นบริษัทของคนเดนมาร์ก ซึ่งได้พัฒนามาใช้ไฟฟ้ารแทนม้าลาก โดยขึงสายไฟเปลือย เหนือรางไปตลอด มีสาแหรกเป็นแท่งเหล็กยากติดบนหลังรถ ขึ้นไปรับกระแสไฟฟ้าจากมาเข้าเครื่อง เมื่อเปิดเดิน เครื่องจะไม่ไอ และแสงพุ่งแปลบออกมาที่หน้ารถ ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า "รถไอ"<br /><br />กิจการรถรางไฟฟ้าได้รับความนิยม ทำกำไรให้บริษัทมาก ในปี พ.ศ. 2448 เจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคน จึงติดตั้งบริษัทรถรางแข่งกับฝรั่งบ้างในชื่อ บริษัท รถรางไทยทุน จำกัด ได้สัมปทาน 2 สาย คือ สายรอบเมือง และสายดุสิต วิ่งจากยศเส สะพานดำ เสาชิงช้า บางลำภู จนถึงสวนดุสิต ใช้รถแบบเดียวกัน แต่ทาสีแดง เพื่อให้แตกต่างจากของบริษัทฝรั่ง ซึ่งทาสีเหลือง แต่ต่อมา ก็ต้องรวมกันเป็นบริษัทเดียว ทาสีเหลืองคาดแดง จนหมดสัมปทาน ตกมาเป็นของรัฐบาล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2493<br /><br />ต่อมาเมื่อกรุงเทพฯ เจริญขึ้น มีรถยนต์วิ่งกันขวักไขว่ รถราง ก็กลายเป็นเครื่องกีดขวางการจราจร ถูกยุบลงทีละสายสองสาย จนเลิกเด็ดขาดเมื่อวันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2511 คงเหลือแต่ที่ จังหวัดลพบุรี ซึ่งเปิดใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2499 แต่ต่อมา ก็ต้องเลิกไปอีก ในปี 2506 หลังจากใช้อยู่ 8 ปี ด้วยสาเหตุเดียวกับในกรุงเทพฯ คือกีดขวางการจราจร รถรางไฟฟ้าจึงสูญพันธุ์ไปจากเมืองไทย ส่วนตัวรถปัจจุบัน ได้นำมาใช้ในการท่องเทีี่ยว โดยติดเครื่องยนต์ราก เช่น ในกรุงเทพฯ ก่อนจะเกิดใหม่มาเป็นเป็นรถไฟฟ้าลอยฟ้าในปัจจุบัน<br /><br />ที่มา allknowledges</span></span></div>
</div>
</div>
<div class="photoUnit clearfix" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 0px -15px; overflow: hidden; position: relative; zoom: 1;">
<div class="_53s uiScaledThumb photo photoWidth1" data-cropped="1" data-gt="{"fbid":"457592627628354"}" style="float: left; overflow: hidden; position: relative;">
<span style="background-color: black; color: white;"><a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=457592627628354&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-snc6%2F774827_457592627628354_2084646862_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F74601_457592627628354_2084646862_n.jpg&size=1334%2C774&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=457592627628354&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="cursor: pointer; text-decoration: initial;"></a></span><br />
<div class="uiScaledImageContainer photoWrap" style="height: 403px; margin-left: 3px; overflow: hidden; position: relative; width: 403px;">
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=457592627628354&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-snc6%2F774827_457592627628354_2084646862_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F74601_457592627628354_2084646862_n.jpg&size=1334%2C774&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=457592627628354&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: initial;"><img alt="รูปภาพ : สยาม ประเทศแรกในเอเชียที่มีรถราง
ตอนที่สร้างถนนเจริญกรุงหรือที่ฝรั่งเรียกกันว่า "นิวโรด (New Road)" เสร็จในปี พ.ศ. 2407 มีผู้นิยมใช้สัญจรไปมามาก ฝรั่งหัวใส 2 คน ชื่อ จอห์น ลอฟตัส เป็นชาวอังกฤษ เข้ามารับราชการ เป็นช่างทำแผนที่กับอันเดรีย ดูเปล ริเตธิเชอเลียว ชาวเดนมาร์ก ซึ่งเข้ามารับราชการ เป็นกัปตันเรือพระที่นั่งเวสาตรี สังกัดกองทัพเรือ ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น พระยาชลยุทธโยธี เห็นว่าถ้าเปิดเดินรถโดยสาร ในถนนสายนี้ ก็จะเป็นธุรกิจที่ดีไม่น้อย และเพื่อให้แน่ใจ จึงทำการสำรวจ หาตัวเลขกันก่อน
วิธีการที่ฝรั่งทั้ง 2 ชาติ เอามาสำรวจนี้ นับว่าเก๋ไก๋ไม่เบา โดยเอาเม็ดมะขามใส่ชามใหญ่วางไว้ตรงกลาง แล้วเอาชามย่อมลงไปหน่อยมาอีก 2 ใบ วางไว้ข้างละใบ เมื่อคนเดินไปทางขวา ก็หยิบเม็ดมะขามใส่ลงไปในชามขวา เมื่อคนเดินไปทางซ้าย ก็หยิบเม็ดมะขามใส่ลงไปในชามซ้าย ทำการสำรวจอยู่แบบนี้อยู่ถึง 3 วัน จึงได้ตัวเลขว่า มีคนขึ้นล่องในนิวโรด วันละเท่าไร ซึ่งคงจะเป็นตัวเลขที่น่าสนใจทีเดียว เขาจึงร่วมกัน ยื่นขอสัปทานเดินรถรางหรือ "แตรมเวย์" (Tramway) คนไทยเรียกว่า "รถแตรม" ในปี พ.ศ. 2430 โดยยื่นรวม 7 สายทั่วกรุง เพื่อกันคนอื่นตามด้วย รัฐบาลได้ให้สัมปทานเป็นเวลา 50 ปี โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องสร้างสายที่ 1 ให้เสร็จภายในเวลา 5 ปี ส่วนอีก 6 สาย ต้องสร้างให้เสร็จในเวลา 7 ปี
รถรางสายแรกเปิดบริการในวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2431 โดยเริ่มต้นจากบางคอแหลม ถนนตก ซึ่งตอนนั้นยังเป็นสวนอยู่ มาตามถนนเจริญกรุง สุดปลายทางที่ศาลหลักเมือง ข้างศาลายุทธนาธิการ หรือกระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน เป็นระยะทาง 6 ไมล์ (ประมาณ 10 - 12 กิโลเมตร) ใช้รถเล็ก 4 ล้อ เทียมด้วยม้า 2 คู่ และมีสถานีเปลี่ยนม้าเป็นระยะ แต่เมื่อคนเต็มคัน ม้าก็ต้องออกแรงลาก จนน้ำลายฟูมปาก ยิ่งตอนขึ้นสะพานบางทีม้าก็ลากไม่ไหว เป็นภาพที่น่าสงสารเป็นอันมาก
ต่อ ๆ มาคนก็ขึ้นรถรางน้อยลงทุกที อาจจะเป็นเพราะคนไทยเรา เป็นคนขี้สงสาร ไม่อยากจะทรมานทารุณม้าก็เป็นได้ อีกทั้งค่ารถราง ในตอนนั้นก็แพงไม่เบา เก็บ 6 อัฐต่อระยะ 3 ไมล์ ส่วนผู้ที่นั่ง 'ผู้ที่นั่งอย่างวิเศษ' หรือชั้นพิเศษ เก็บอีกเท่าตัว เป็น 12 อัฐ ซึ่ง 63 อัฐ เท่ากับ 1 บาท
เมื่อรถรางขาดทุน สองผู้บุกเบิก ก็ไปไม่ไหว ต้องขายกิจการ ให้บริษัท บางกอกแตรมเวย์ ซึ่งเป็นของคนอังกฤษดำเนินการต่อ โดยยังคงใช้ม้า ลากตามเดิม แล้วม้าก็ลากบริษัทรถรางไปไม่ไหวอีกราย ต้องขายต่อในปี พ.ศ. 2435
ผู้ดำเนินกิจการรถรางรายใหม่ เป็นบริษัทของคนเดนมาร์ก ซึ่งได้พัฒนามาใช้ไฟฟ้ารแทนม้าลาก โดยขึงสายไฟเปลือย เหนือรางไปตลอด มีสาแหรกเป็นแท่งเหล็กยากติดบนหลังรถ ขึ้นไปรับกระแสไฟฟ้าจากมาเข้าเครื่อง เมื่อเปิดเดิน เครื่องจะไม่ไอ และแสงพุ่งแปลบออกมาที่หน้ารถ ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า "รถไอ"
กิจการรถรางไฟฟ้าได้รับความนิยม ทำกำไรให้บริษัทมาก ในปี พ.ศ. 2448 เจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคน จึงติดตั้งบริษัทรถรางแข่งกับฝรั่งบ้างในชื่อ บริษัท รถรางไทยทุน จำกัด ได้สัมปทาน 2 สาย คือ สายรอบเมือง และสายดุสิต วิ่งจากยศเส สะพานดำ เสาชิงช้า บางลำภู จนถึงสวนดุสิต ใช้รถแบบเดียวกัน แต่ทาสีแดง เพื่อให้แตกต่างจากของบริษัทฝรั่ง ซึ่งทาสีเหลือง แต่ต่อมา ก็ต้องรวมกันเป็นบริษัทเดียว ทาสีเหลืองคาดแดง จนหมดสัมปทาน ตกมาเป็นของรัฐบาล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2493
ต่อมาเมื่อกรุงเทพฯ เจริญขึ้น มีรถยนต์วิ่งกันขวักไขว่ รถราง ก็กลายเป็นเครื่องกีดขวางการจราจร ถูกยุบลงทีละสายสองสาย จนเลิกเด็ดขาดเมื่อวันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2511 คงเหลือแต่ที่ จังหวัดลพบุรี ซึ่งเปิดใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2499 แต่ต่อมา ก็ต้องเลิกไปอีก ในปี 2506 หลังจากใช้อยู่ 8 ปี ด้วยสาเหตุเดียวกับในกรุงเทพฯ คือกีดขวางการจราจร รถรางไฟฟ้าจึงสูญพันธุ์ไปจากเมืองไทย ส่วนตัวรถปัจจุบัน ได้นำมาใช้ในการท่องเทีี่ยว โดยติดเครื่องยนต์ราก เช่น ในกรุงเทพฯ ก่อนจะเกิดใหม่มาเป็นเป็นรถไฟฟ้าลอยฟ้าในปัจจุบัน
ที่มา allknowledges" class="scaledImageFitWidth img" height="403" src="https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/c145.0.403.403/p403x403/74601_457592627628354_2084646862_n.jpg" style="border: 0px; height: auto; min-height: 100%; position: relative; width: 403px;" width="403" /></a></div>
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=457592627628354&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-snc6%2F774827_457592627628354_2084646862_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F74601_457592627628354_2084646862_n.jpg&size=1334%2C774&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=457592627628354&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="background-color: white; color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: initial;">
</a>
<div style="background-color: white; color: #333333;">
</div>
</div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-19732048946741048692013-02-18T19:00:00.002-08:002013-02-18T19:08:01.415-08:00ตัดหางปล่อยวัด สำนวนที่มาจากหางไก่ไม่ใช่หางสุนัข<span style="background-color: black; color: white;"><br /></span>
<br />
<div class="aboveUnitContent" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px;">
<div class="userContentWrapper">
<div class="_wk" style="font-size: 15px; line-height: 18px;">
<span class="userContent" style="background-color: black; color: white;"><b>ตัดหางปล่อยวัด สำนวนที่มาจากหางไก่ไม่ใช่หางสุนัข</b><br />ตัดหางปล่อยวัด เป็นสำนวนหมายถึง ตัดขาดไม่เกี่ยวข้อง ไม่เอาเป็นธุระอีกต่อไป เช่น เด็กคนนี้ถูกพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัดเพราะประพฤติตัวเกกมะเหรกเกเรไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่<br /><br />สำนวนนี้มีที่มาจา<span class="text_exposed_show" style="display: inline;">กการตัดหางไก่แล้วนำไปปล่อยเพื่อสะเดาะเคราะห์หรือแก้เคราะห์ในสมัยโบราณ มีหลักฐานในกฎมนเทียรบาลว่า เมื่อเกิดสิ่งที่เป็นอัปมงคล เช่นมีวิวาทตบตีกันถึงเลือดตกใน พระราชวังต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์ โดยเอาไก่ไปปล่อยนอกเมือง เพื่อให้พาเสนียดจัญไรไปให้พ้น<br /><br />ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีประกาศกล่าวถึงการนำไก่ไปปล่อยที่วัดเพื่อสะเดาะเคราะห์ สันนิษฐานว่า ไก่ที่จะนำไปปล่อยที่วัดจะตัดหางเพื่อเป็นเครื่องหมายว่าเป็นไก่ที่ปล่อย เพื่อการสะเดาะเคราะห์ด้วย<br /><br />ไก่มงคล เลี้ยงไว้จะนำโชคลาภมาสู่เจ้าของ ควรหามาเลี้ยงไว้ ในทางตรงข้ามก็มีไก่ที่เลี้ยงไว้จะทำให้เกิดอาเพศ แก่เจ้าของและบ้านที่อยู่อาศัย ห้ามเข้าไปใกล้ห้ามแตะต้อง จะเป็นอัปมงคลแก่ตัว โบราณสังเกตจดจำพบเห็นมาแล้วว่าจริง จึงได้สั่งสอนลูกหลานสืบต่อกันมา กลายเป็นตำราโบราณตกทอดมาถึงปัจจุบัน มีอะไรกันบ้างมาดูกันครับ<br /><br />1. ไก่กลิ่นตัวเหม็น คือ ไก่ที่มีกลิ่นตัวเหมือนอุจาระ,ซากศพ,สาบ,สาง ฯ จะอาบน้ำล้างน้ำก็ไม่หมดกลิ่นเหม็น โบราณถือว่าเป็น ไก่อัปมงคล เป็นเสนียดจัญไร ทำลายชื่อเสียง บ้างช่อง วงศ์ตระกูล ของผู้เป็นเจ้าของ ผู้สัมผัส หามีอยู่ให้ตัดหางปล่อยวัดปล่อยป่า อย่าได้กินไก่เหล่านี้จะเกิดโชคร้ายมีอันตรายได้ (ว่ากันว่าถึงชีวิตเลยครับ)<br /><br />2. ไก่ตัวเมียขันยาม คือ ไก่ตัวเมียขันตอนกลางคืนแบบตัวผู้ (ไม่ใช่ไก่ตัวเมียที่ขันสอนลูก หรือขันข่มไก่ตัวอื่น อันนี้ถือว่าดี ) ตัวเมียขันยาม ถือว่าเป็นอาเพศ เป็นรางร้าย แก่เจ้าของ บ้านช่อง ครอบครัว ไม่ควรเลี้ยงต่อไป ให้ตัดหางปล่อยวัด<br /><br />3.ไกขันโหยหวนแบบโขมด ผมก็ไม่รู้ว่าโขมดเสียงเป็นเช่นไร ฟังเค้าเล่ามาว่าเป็นผีชนิดหนึ่งตามท้องทุ่ง เป็นดวงไฟลอยไปมา เรียกว่า ผีโขมด แต่ฟังจากที่เค้าเล่ามาก็ประมาณว่าร้องโหยหวน ครวญคราง น่ากลัว เสียงขันของไก่จะนิยมเสียงที่กระชากกระชั้น ดุดัน หรือ ก้องกังวาร ชวนฟัง แต่ถ้าตัวไหนขัน โหยหวน ชวนสยอง ก็ถือว่า อัปมงคล ไม่ควรเลี้ยงไว้ ให้ตัดหางปล่อยวัด<br /><br />4. ไก่ปากเหม็น เหมือนอุจจาระ เหม็นโดยปกติ เหม็นเป็นประจำ ว่ากันว่าผู้เลี้ยง ไก่ปากเหม็น จะส่งผลให้ผู้นั้น พูดจาไม่เข้าหูคน เจรจากับใครๆมีแต่ผลเสีย เป็นที่รังเกียจของคนทั่วไปเพราะคำพูดจา ไม่ควรเลี้ยงไก่ปากเหม็นไว้ ควรนำไปตัดหางปล่อยวัด<br /><br />5. ไก่เกล็ดต้องห้าม คือ แข้งไก่มีเกล็ดต้องห้าม ๕ ชนิดคือ เกล็ด ประตูผี, หนีเดิมพัน, เกล็ดอันบอด, ถอดหัวหนี, เกล็ดขี้แพ้ ไก่ที่มีเกล็ดห้าชนิดนี้ ให้ลงเข่งให้หมด ถ้าเมตตาไก่ ปล่อยวัดไปเสียก็ดี ไม่ต้องตัดหางก็ได้<br /><br />6. ไก่ตัวเมียกินไข่/จิกกินลูก เป็นไก่ผี ไก่ปีศาจ อัปมงคล ผู้เลี้ยงไว้จะเกิดความสูญเสีย ชื่อเสีย,ทรัพย์,ของรัก ไม่ควรเลี้ยงไว้ ให้ตัดหางปล่อยวัด<br /><br />7. ไก่ไล่จิกตีเจ้าของในบ้าน ถือเป็น ไก่อัปมงคล ให้ลงเข่งไปเสีย ถ้าเมตตาไก่ ปล่อยวัดไปก็ดีครับ<br /><br />8. ไก่ฝ่าเท้าแดง คือ ไก่ที่ฝ่าเท้าแดงเป็นสีเลือด เหมือน เกล็ดสังวาลข้างแข้งเป็นไก่อัปมงคล จะเกิดอัคคีภัย โจรภัย หรือ เดือดเนื้อร้อนใจอยู่เป็นประจำให้นำไปตัดหางปล่อยวัด ( ในทางกลับกัน ไก่ฝ่าเท้าดำ เป็นไก่ กันไฟ กันโจร ถือเป็นไก่ดี ไก่มงคล )<br /><br />9. ไก่โกโรโกโส คือ ผอมแห้ง ซีดเซียว ยืนงอ ซอมซ่อ ไม่ร้องไม่ขัน เป็นไก่อัปมงคล ทำให้ผู้เลี้ยง ยากจน หมดทรัพย์ เป็นไก่ผลาญทรัพย์ หมดสง่าราศี ถ้ามี ก็ตัดหางปล่อยวัดเช่นกัน<br /><br />10. ไก่ขนมีลายหน้าผี, หน้ายักษ์ ขนที่หลัง หรือ ปีก มองดูเป็นลาย คล้าย หน้าผี,หน้ายักษ์ เป็นไก่อัปมงคล เลี้ยงไว้ เด็กๆในบ้านจะอยู่ไม่เป็นสุข หวาดกลัว,หวาดผวา จิตใจไม่ปกติ ไม่ควรเลี้ยง ให้ตัดหางปล่อยวัดไปเสีย<br /><br />11. ไก่ตีนเป็ด คือ มีพังผืดง่ามเท้าเป็นแผ่นแบบตีนเป็ด เป็นอัปมงคล เลี้ยงไว้ทำให้เจ้าของไม่เจริญ ล้มเหลว ขาดทุน หากเกิดขึ้นในบ้านให้ตัดหางปล่อยวัดอีกเช่นกัน<br /><br />12. ไก่ชอบกินอาจม กินของสกปรก กินของเน่าเหม็น กิจอุจจาระ คน,หมา,หรือขี้ไก่อื่นๆ หรือแม้แต่กินขี้ตัวเอง ไม่ชอบกิน ข้าว ผักหญ้า ผลไม้ เป็นไก่อัปมงคล จะเกิดอาเพศในบ้าน ขาดแคลนสารพัด แม้อาหารการกิน ตัดหางปล่อยวัดเสียเถอะ<br /><br />13. ไก่ชอบคุ้ยเขี่ยทำลายข้าวของทรัพย์สินในบ้าน คือ ชอบขึ้นบ้านค้นบ้านคุ้ยเขี่ยทำลายข้าวของในบ้านเสียหาย แตกหัก เป็นประจำ ไม่บอกก็คงไม่เลี้ยงอยู่แล้วอัปมงคลหรือไม่ล่ะทำลายกันเห็นๆ สนับสนุนให้ปล่อยวัดครับผม<br /><br />ตัดหางปล่อยวัด เป็นเคล็ดการนำไก่อัปมงคล มาตัดขนหางออกแล้วนำไปปล่อยวัดขจัดอัปมงคลจากบ้านจากผู้เลี้ยง ปล่อยวัดเพราะวัดเป็นพุทธสถาน พุทธจักร ขจัดสารพัดกาลกิณี สยบทุกอัปมงคล จนเป็นสำนวนกล่าวขานการตัดขาดจากกันว่า “ตัดหางปล่อยวัด”</span></span></div>
</div>
</div>
<div class="photoUnit clearfix" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 0px -15px; overflow: hidden; position: relative; zoom: 1;">
<div class="_53s uiScaledThumb photo photoWidth1" data-cropped="1" data-gt="{"fbid":"458894844164799"}" style="float: left; overflow: hidden; position: relative;">
<span style="background-color: black; color: white;"><a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=458894844164799&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash3%2F820908_458894844164799_1829731994_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash4%2F379200_458894844164799_1829731994_n.jpg&size=1038%2C1075&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=458894844164799&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="cursor: pointer; text-decoration: initial;"></a></span><br />
<div class="uiScaledImageContainer photoWrap" style="height: 403px; margin-left: 3px; overflow: hidden; position: relative; width: 403px;">
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=458894844164799&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash3%2F820908_458894844164799_1829731994_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash4%2F379200_458894844164799_1829731994_n.jpg&size=1038%2C1075&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=458894844164799&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: initial;"><img alt="รูปภาพ : ตัดหางปล่อยวัด สำนวนที่มาจากหางไก่ไม่ใช่หางสุนัข
ตัดหางปล่อยวัด เป็นสำนวนหมายถึง ตัดขาดไม่เกี่ยวข้อง ไม่เอาเป็นธุระอีกต่อไป เช่น เด็กคนนี้ถูกพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัดเพราะประพฤติตัวเกกมะเหรกเกเรไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่
สำนวนนี้มีที่มาจากการตัดหางไก่แล้วนำไปปล่อยเพื่อสะเดาะเคราะห์หรือแก้เคราะห์ในสมัยโบราณ มีหลักฐานในกฎมนเทียรบาลว่า เมื่อเกิดสิ่งที่เป็นอัปมงคล เช่นมีวิวาทตบตีกันถึงเลือดตกใน พระราชวังต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์ โดยเอาไก่ไปปล่อยนอกเมือง เพื่อให้พาเสนียดจัญไรไปให้พ้น
ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีประกาศกล่าวถึงการนำไก่ไปปล่อยที่วัดเพื่อสะเดาะเคราะห์ สันนิษฐานว่า ไก่ที่จะนำไปปล่อยที่วัดจะตัดหางเพื่อเป็นเครื่องหมายว่าเป็นไก่ที่ปล่อย เพื่อการสะเดาะเคราะห์ด้วย
ไก่มงคล เลี้ยงไว้จะนำโชคลาภมาสู่เจ้าของ ควรหามาเลี้ยงไว้ ในทางตรงข้ามก็มีไก่ที่เลี้ยงไว้จะทำให้เกิดอาเพศ แก่เจ้าของและบ้านที่อยู่อาศัย ห้ามเข้าไปใกล้ห้ามแตะต้อง จะเป็นอัปมงคลแก่ตัว โบราณสังเกตจดจำพบเห็นมาแล้วว่าจริง จึงได้สั่งสอนลูกหลานสืบต่อกันมา กลายเป็นตำราโบราณตกทอดมาถึงปัจจุบัน มีอะไรกันบ้างมาดูกันครับ
1. ไก่กลิ่นตัวเหม็น คือ ไก่ที่มีกลิ่นตัวเหมือนอุจาระ,ซากศพ,สาบ,สาง ฯ จะอาบน้ำล้างน้ำก็ไม่หมดกลิ่นเหม็น โบราณถือว่าเป็น ไก่อัปมงคล เป็นเสนียดจัญไร ทำลายชื่อเสียง บ้างช่อง วงศ์ตระกูล ของผู้เป็นเจ้าของ ผู้สัมผัส หามีอยู่ให้ตัดหางปล่อยวัดปล่อยป่า อย่าได้กินไก่เหล่านี้จะเกิดโชคร้ายมีอันตรายได้ (ว่ากันว่าถึงชีวิตเลยครับ)
2. ไก่ตัวเมียขันยาม คือ ไก่ตัวเมียขันตอนกลางคืนแบบตัวผู้ (ไม่ใช่ไก่ตัวเมียที่ขันสอนลูก หรือขันข่มไก่ตัวอื่น อันนี้ถือว่าดี ) ตัวเมียขันยาม ถือว่าเป็นอาเพศ เป็นรางร้าย แก่เจ้าของ บ้านช่อง ครอบครัว ไม่ควรเลี้ยงต่อไป ให้ตัดหางปล่อยวัด
3.ไกขันโหยหวนแบบโขมด ผมก็ไม่รู้ว่าโขมดเสียงเป็นเช่นไร ฟังเค้าเล่ามาว่าเป็นผีชนิดหนึ่งตามท้องทุ่ง เป็นดวงไฟลอยไปมา เรียกว่า ผีโขมด แต่ฟังจากที่เค้าเล่ามาก็ประมาณว่าร้องโหยหวน ครวญคราง น่ากลัว เสียงขันของไก่จะนิยมเสียงที่กระชากกระชั้น ดุดัน หรือ ก้องกังวาร ชวนฟัง แต่ถ้าตัวไหนขัน โหยหวน ชวนสยอง ก็ถือว่า อัปมงคล ไม่ควรเลี้ยงไว้ ให้ตัดหางปล่อยวัด
4. ไก่ปากเหม็น เหมือนอุจจาระ เหม็นโดยปกติ เหม็นเป็นประจำ ว่ากันว่าผู้เลี้ยง ไก่ปากเหม็น จะส่งผลให้ผู้นั้น พูดจาไม่เข้าหูคน เจรจากับใครๆมีแต่ผลเสีย เป็นที่รังเกียจของคนทั่วไปเพราะคำพูดจา ไม่ควรเลี้ยงไก่ปากเหม็นไว้ ควรนำไปตัดหางปล่อยวัด
5. ไก่เกล็ดต้องห้าม คือ แข้งไก่มีเกล็ดต้องห้าม ๕ ชนิดคือ เกล็ด ประตูผี, หนีเดิมพัน, เกล็ดอันบอด, ถอดหัวหนี, เกล็ดขี้แพ้ ไก่ที่มีเกล็ดห้าชนิดนี้ ให้ลงเข่งให้หมด ถ้าเมตตาไก่ ปล่อยวัดไปเสียก็ดี ไม่ต้องตัดหางก็ได้
6. ไก่ตัวเมียกินไข่/จิกกินลูก เป็นไก่ผี ไก่ปีศาจ อัปมงคล ผู้เลี้ยงไว้จะเกิดความสูญเสีย ชื่อเสีย,ทรัพย์,ของรัก ไม่ควรเลี้ยงไว้ ให้ตัดหางปล่อยวัด
7. ไก่ไล่จิกตีเจ้าของในบ้าน ถือเป็น ไก่อัปมงคล ให้ลงเข่งไปเสีย ถ้าเมตตาไก่ ปล่อยวัดไปก็ดีครับ
8. ไก่ฝ่าเท้าแดง คือ ไก่ที่ฝ่าเท้าแดงเป็นสีเลือด เหมือน เกล็ดสังวาลข้างแข้งเป็นไก่อัปมงคล จะเกิดอัคคีภัย โจรภัย หรือ เดือดเนื้อร้อนใจอยู่เป็นประจำให้นำไปตัดหางปล่อยวัด ( ในทางกลับกัน ไก่ฝ่าเท้าดำ เป็นไก่ กันไฟ กันโจร ถือเป็นไก่ดี ไก่มงคล )
9. ไก่โกโรโกโส คือ ผอมแห้ง ซีดเซียว ยืนงอ ซอมซ่อ ไม่ร้องไม่ขัน เป็นไก่อัปมงคล ทำให้ผู้เลี้ยง ยากจน หมดทรัพย์ เป็นไก่ผลาญทรัพย์ หมดสง่าราศี ถ้ามี ก็ตัดหางปล่อยวัดเช่นกัน
10. ไก่ขนมีลายหน้าผี, หน้ายักษ์ ขนที่หลัง หรือ ปีก มองดูเป็นลาย คล้าย หน้าผี,หน้ายักษ์ เป็นไก่อัปมงคล เลี้ยงไว้ เด็กๆในบ้านจะอยู่ไม่เป็นสุข หวาดกลัว,หวาดผวา จิตใจไม่ปกติ ไม่ควรเลี้ยง ให้ตัดหางปล่อยวัดไปเสีย
11. ไก่ตีนเป็ด คือ มีพังผืดง่ามเท้าเป็นแผ่นแบบตีนเป็ด เป็นอัปมงคล เลี้ยงไว้ทำให้เจ้าของไม่เจริญ ล้มเหลว ขาดทุน หากเกิดขึ้นในบ้านให้ตัดหางปล่อยวัดอีกเช่นกัน
12. ไก่ชอบกินอาจม กินของสกปรก กินของเน่าเหม็น กิจอุจจาระ คน,หมา,หรือขี้ไก่อื่นๆ หรือแม้แต่กินขี้ตัวเอง ไม่ชอบกิน ข้าว ผักหญ้า ผลไม้ เป็นไก่อัปมงคล จะเกิดอาเพศในบ้าน ขาดแคลนสารพัด แม้อาหารการกิน ตัดหางปล่อยวัดเสียเถอะ
13. ไก่ชอบคุ้ยเขี่ยทำลายข้าวของทรัพย์สินในบ้าน คือ ชอบขึ้นบ้านค้นบ้านคุ้ยเขี่ยทำลายข้าวของในบ้านเสียหาย แตกหัก เป็นประจำ ไม่บอกก็คงไม่เลี้ยงอยู่แล้วอัปมงคลหรือไม่ล่ะทำลายกันเห็นๆ สนับสนุนให้ปล่อยวัดครับผม
ตัดหางปล่อยวัด เป็นเคล็ดการนำไก่อัปมงคล มาตัดขนหางออกแล้วนำไปปล่อยวัดขจัดอัปมงคลจากบ้านจากผู้เลี้ยง ปล่อยวัดเพราะวัดเป็นพุทธสถาน พุทธจักร ขจัดสารพัดกาลกิณี สยบทุกอัปมงคล จนเป็นสำนวนกล่าวขานการตัดขาดจากกันว่า “ตัดหางปล่อยวัด”" class="scaledImageFitWidth img" height="403" src="https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/c0.0.403.403/p403x403/379200_458894844164799_1829731994_n.jpg" style="border: 0px; height: auto; min-height: 100%; position: relative; width: 403px;" width="403" /></a></div>
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=458894844164799&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash3%2F820908_458894844164799_1829731994_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash4%2F379200_458894844164799_1829731994_n.jpg&size=1038%2C1075&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=458894844164799&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="background-color: white; color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: initial;">
</a>
<div style="background-color: white; color: #333333;">
</div>
</div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-80903582054523551672013-02-18T18:57:00.003-08:002013-02-18T19:08:23.193-08:00ซาไก หนึ่งในชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนสยาม<br />
<div class="aboveUnitContent" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px;">
<div class="userContentWrapper">
<div class="_wk" style="font-size: 15px; line-height: 18px;">
<span class="userContent" style="background-color: black; color: white;"><b>ซาไก หนึ่งในชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนสยาม</b><br /><br />ซาไก เป็นมนุษย์โบราณอาจจะที่มีมาตั้งแต่สมัยยุคหิน ประมาณ 1,500– 10,000 ปีมาแล้ว รูปร่างเตี้ยมีผิวดำ ฝีปากหนา ท้องป่อง น่องสั้นเรียว ผมหยิกเป็นก้นหอยติดศีรษะ ชาติพันธุ์นิกรอยด์ หรือเนกริโต ตระ<span class="text_exposed_show" style="display: inline;">กูลออสโตร-เอเชียติก อยู่กระจายกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ราว 7-60 คน ในรัฐเกดะห์ มาเลเซีย ในส่วนลึกของนิวกินี ฟิลิปปินส์และหมู่เกาะอันดามัน เรียกตนเองว่า “มันนิ” (Mani) ส่วนผู้อื่นเรียกว่า เงาะ เงาะป่า ชาวป่า ซาแก หรือ โอรัง อัสลี (Orang Asli) หรือ กอย<br /><br />สำหรับในประเทศไทยเงาะป่า หรือซาไก เป็นชนเผ่าดั้งเดิม หรือมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ที่อาศัยตามแนวเขานครศรีธรรมราช ทิวเขาสันกาลาคีรี และทิวเขาภูเก็ต ทิวเขาทั้งสามถือเป็นกระดูกสันหลังของภาคใต้<br /><br />ชาวพื้นเมืองกลุ่มนี้ยึดครองเป็นเจ้าของถิ่นมาช้านานแล้ว เมื่อหลายร้อยปีก่อน ปรากฎหลักฐานพอเชื่อถือได้ว่า มีชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่ ตามจังหวัดกระบี่ ตรัง นครศรีธรรมราช สตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส พัทลุง รวม 9 จังหวัด<br /><br />ชนกลุ่มนี้มีเพียงภาษาพูดไม่มีภาษาเขียนหรือตัวอักษร คำศัพท์ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ปัจจุบันพบการใช้คำศัพท์จากภาษาไทยภาคกลาง ภาษาไทยถิ่นใต้ และภาษามลายูถิ่น<br /><br />เดิมทีชาวซาไกเป็นกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมแบบหาของป่า-ล่าสัตว์ในผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันนี้ ปัจจัยของความเปลี่ยนแปลงภายนอก ทั้งทางด้ายกายภาพและสังคม ได้เปลี่ยนแปลงให้ชนกลุ่มนี้มีลักษณะการดำรงชีวิต เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มีวิถีชีวิตแบบเคลื่อนย้ายอพยพหาของป่าล่า-สัตว์แบบดั้งเดิม, กลุ่มหาของป่า-ล่าสัตว์กึ่งสังคมหมู่บ้าน, กลุ่มสังคมหมู่บ้านเต็มรูปแบบ<br /><br />ทุกวันนี้อาศัยอยู่ไม่กี่จังหวัด เช่น ตรัง สตูล พัทลุง ยะลา นราธิวาส สงขลา สมัยก่อนทิวเขาเหล่านี้มีความอุดมสมบูรณ์ ผลไม้ป่า สัตว์ป่า ทำให้พวกเงาะป่า หรือซาไก อยู่อย่างสะดวกสบาย พวกนี้จะอยู่รวมเป็นกลุ่ม เดินทางเร่ร่อน ตามรอยต่อของจังหวัดตรัง พัทลุง สตูล สงขลา และเตลิดเปิดเปิงไปยะลา ข้ามเขตไปประเทศมาเลเซีย เมื่อป่าไม้ถูกทำลาย ความอุดมสมบูรณ์ลดลงเป็นอันมาก ชาวป่าไม่มีที่อยู่อาศัย กลุ่มใหญ่เข้าป่าไปอยู่มาเลเซีย เพราะป่ายังอุดมสมบูรณ์ กลุ่มหนึ่งกลายเป็นคนเมืองทางราชการจัดที่ให้ อาศัยเป็นหลักแหล่งที่อำเภอธารโต จังหวัดยะลา เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด<br /><br />สำหรับในภาคใต้ของประเทศไทยมีซาไกอยู่สี่กลุ่มรวมประมาณ 200 คน คือ<br />1.ซาไกกันซิว อยู่ในอำเภอธารโต จังหวัดยะลา<br />2.ซาไกยะฮาย อยู่ในอำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส<br />3.ซาไกแตะเดะหรือเยแด อยู่ บริเวณภูเขาสันกาลาคีรีแถบจังหวัดยะลาและอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส<br />4.ซาไกแต็นเอ็น อยู่บริเวณเขาบรรทัดแถบคลองตง คลองหินแดง บ้านเจ้าพะและถ้ำเขาเขียด อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง(ประมาณ 100 คน) จังหวัดพัทลุงและจังหวัดสตูล<br /><br />ซาไกที่อาศัยอยู่ที่อำเภอธารโต จังหวัดยะลา ได้รับพระราชทานนามสกุลจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยใช้ชื่อสกุลว่า "ศรีธารโต" แต่ปัจจุบันซาไกธารโตส่วนใหญ่ได้อพยพไปอยู่ในมาเลเซีย ด้วยเหตุผลด้านที่ทำกินและวิถีชีวิตที่ดีกว่า ประกอบกับเหตุผลด้านความไม่สงบ<br /><br />ปัจจุบันชาวเงาะป่า หรือซาไก ในจังหวัดสตูลได้พัฒนาตนเองเป็นคนเมือง เช่น ลูกสาวแต่งงานกับชาวบ้านชาวเงาะป่า หรือ ซาไก เดินทางขายสมุนไพรในตลาดนัด พบปะผู้คนชาวเมือง ผู้ชายหัวหน้าชอบดื่มเหล้าขาว เมามายนอนกลิ้งตามบ้านเรือน หรือร้านค้าในตลาด พฤติกรรมที่เป็นคนป่าเปลี่ยนไป สวมเสื้อยืด นุ่งกางเกงยีน ดื่มน้ำจากขวดพลาสติก ซื้อข้าวห่อ พวกที่อยู่ยะลาพัฒนาขึ้นมาก เช่น ในบ้านที่ทางราชการจัดให้ มีไฟฟ้าใช้ หม้อข้าวไฟฟ้า ตู้เย็น พัดลง โทรทัศน์ มีเกือบทุกบ้าน ลูก ๆ เข้าเรียนหนังสือ<br /><br />นับวันวิถีชีวิตของเงาะป่า หรือซาไก กำลังถูกกลืนโดยสังคมที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว<br /><br />ภาพประกอบ: เงาะซาไก ถ่ายที่บ้านโต อ.ธารโต จ.ยะลา พ.ศ.2496 ขอบคุณภาพจากเพจยะลาเมื่อวันวาน</span></span></div>
</div>
</div>
<div class="photoUnit clearfix" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 0px -15px; overflow: hidden; position: relative; zoom: 1;">
<div class="_53s uiScaledThumb photo photoWidth1" data-cropped="1" data-gt="{"fbid":"463712527016364"}" style="float: left; overflow: hidden; position: relative;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;"><a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=463712527016364&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-frc1%2F812589_463712527016364_662554121_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F67947_463712527016364_662554121_n.jpg&size=2048%2C1211&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=463712527016364&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="cursor: pointer; text-decoration: initial;"></a></span></span><br />
<div class="uiScaledImageContainer photoWrap" style="height: 403px; margin-left: 3px; overflow: hidden; position: relative; width: 403px;">
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=463712527016364&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-frc1%2F812589_463712527016364_662554121_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F67947_463712527016364_662554121_n.jpg&size=2048%2C1211&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=463712527016364&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: initial;"><img alt="รูปภาพ : ซาไก หนึ่งในชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนสยาม
ซาไก เป็นมนุษย์โบราณอาจจะที่มีมาตั้งแต่สมัยยุคหิน ประมาณ 1,500– 10,000 ปีมาแล้ว รูปร่างเตี้ยมีผิวดำ ฝีปากหนา ท้องป่อง น่องสั้นเรียว ผมหยิกเป็นก้นหอยติดศีรษะ ชาติพันธุ์นิกรอยด์ หรือเนกริโต ตระกูลออสโตร-เอเชียติก อยู่กระจายกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ราว 7-60 คน ในรัฐเกดะห์ มาเลเซีย ในส่วนลึกของนิวกินี ฟิลิปปินส์และหมู่เกาะอันดามัน เรียกตนเองว่า “มันนิ” (Mani) ส่วนผู้อื่นเรียกว่า เงาะ เงาะป่า ชาวป่า ซาแก หรือ โอรัง อัสลี (Orang Asli) หรือ กอย
สำหรับในประเทศไทยเงาะป่า หรือซาไก เป็นชนเผ่าดั้งเดิม หรือมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ที่อาศัยตามแนวเขานครศรีธรรมราช ทิวเขาสันกาลาคีรี และทิวเขาภูเก็ต ทิวเขาทั้งสามถือเป็นกระดูกสันหลังของภาคใต้
ชาวพื้นเมืองกลุ่มนี้ยึดครองเป็นเจ้าของถิ่นมาช้านานแล้ว เมื่อหลายร้อยปีก่อน ปรากฎหลักฐานพอเชื่อถือได้ว่า มีชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่ ตามจังหวัดกระบี่ ตรัง นครศรีธรรมราช สตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส พัทลุง รวม 9 จังหวัด
ชนกลุ่มนี้มีเพียงภาษาพูดไม่มีภาษาเขียนหรือตัวอักษร คำศัพท์ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ปัจจุบันพบการใช้คำศัพท์จากภาษาไทยภาคกลาง ภาษาไทยถิ่นใต้ และภาษามลายูถิ่น
เดิมทีชาวซาไกเป็นกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมแบบหาของป่า-ล่าสัตว์ในผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันนี้ ปัจจัยของความเปลี่ยนแปลงภายนอก ทั้งทางด้ายกายภาพและสังคม ได้เปลี่ยนแปลงให้ชนกลุ่มนี้มีลักษณะการดำรงชีวิต เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มีวิถีชีวิตแบบเคลื่อนย้ายอพยพหาของป่าล่า-สัตว์แบบดั้งเดิม, กลุ่มหาของป่า-ล่าสัตว์กึ่งสังคมหมู่บ้าน, กลุ่มสังคมหมู่บ้านเต็มรูปแบบ
ทุกวันนี้อาศัยอยู่ไม่กี่จังหวัด เช่น ตรัง สตูล พัทลุง ยะลา นราธิวาส สงขลา สมัยก่อนทิวเขาเหล่านี้มีความอุดมสมบูรณ์ ผลไม้ป่า สัตว์ป่า ทำให้พวกเงาะป่า หรือซาไก อยู่อย่างสะดวกสบาย พวกนี้จะอยู่รวมเป็นกลุ่ม เดินทางเร่ร่อน ตามรอยต่อของจังหวัดตรัง พัทลุง สตูล สงขลา และเตลิดเปิดเปิงไปยะลา ข้ามเขตไปประเทศมาเลเซีย เมื่อป่าไม้ถูกทำลาย ความอุดมสมบูรณ์ลดลงเป็นอันมาก ชาวป่าไม่มีที่อยู่อาศัย กลุ่มใหญ่เข้าป่าไปอยู่มาเลเซีย เพราะป่ายังอุดมสมบูรณ์ กลุ่มหนึ่งกลายเป็นคนเมืองทางราชการจัดที่ให้ อาศัยเป็นหลักแหล่งที่อำเภอธารโต จังหวัดยะลา เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด
สำหรับในภาคใต้ของประเทศไทยมีซาไกอยู่สี่กลุ่มรวมประมาณ 200 คน คือ
1.ซาไกกันซิว อยู่ในอำเภอธารโต จังหวัดยะลา
2.ซาไกยะฮาย อยู่ในอำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส
3.ซาไกแตะเดะหรือเยแด อยู่ บริเวณภูเขาสันกาลาคีรีแถบจังหวัดยะลาและอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส
4.ซาไกแต็นเอ็น อยู่บริเวณเขาบรรทัดแถบคลองตง คลองหินแดง บ้านเจ้าพะและถ้ำเขาเขียด อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง(ประมาณ 100 คน) จังหวัดพัทลุงและจังหวัดสตูล
ซาไกที่อาศัยอยู่ที่อำเภอธารโต จังหวัดยะลา ได้รับพระราชทานนามสกุลจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยใช้ชื่อสกุลว่า "ศรีธารโต" แต่ปัจจุบันซาไกธารโตส่วนใหญ่ได้อพยพไปอยู่ในมาเลเซีย ด้วยเหตุผลด้านที่ทำกินและวิถีชีวิตที่ดีกว่า ประกอบกับเหตุผลด้านความไม่สงบ
ปัจจุบันชาวเงาะป่า หรือซาไก ในจังหวัดสตูลได้พัฒนาตนเองเป็นคนเมือง เช่น ลูกสาวแต่งงานกับชาวบ้านชาวเงาะป่า หรือ ซาไก เดินทางขายสมุนไพรในตลาดนัด พบปะผู้คนชาวเมือง ผู้ชายหัวหน้าชอบดื่มเหล้าขาว เมามายนอนกลิ้งตามบ้านเรือน หรือร้านค้าในตลาด พฤติกรรมที่เป็นคนป่าเปลี่ยนไป สวมเสื้อยืด นุ่งกางเกงยีน ดื่มน้ำจากขวดพลาสติก ซื้อข้าวห่อ พวกที่อยู่ยะลาพัฒนาขึ้นมาก เช่น ในบ้านที่ทางราชการจัดให้ มีไฟฟ้าใช้ หม้อข้าวไฟฟ้า ตู้เย็น พัดลง โทรทัศน์ มีเกือบทุกบ้าน ลูก ๆ เข้าเรียนหนังสือ
นับวันวิถีชีวิตของเงาะป่า หรือซาไก กำลังถูกกลืนโดยสังคมที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
ภาพประกอบ: เงาะซาไก ถ่ายที่บ้านโต อ.ธารโต จ.ยะลา พ.ศ.2496 ขอบคุณภาพจากเพจยะลาเมื่อวันวาน" class="scaledImageFitWidth img" height="403" src="https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/c139.0.403.403/p403x403/67947_463712527016364_662554121_n.jpg" style="border: 0px; height: auto; min-height: 100%; position: relative; width: 403px;" width="403" /></a></div>
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=463712527016364&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-frc1%2F812589_463712527016364_662554121_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F67947_463712527016364_662554121_n.jpg&size=2048%2C1211&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=463712527016364&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="background-color: white; color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: initial;">
</a><div style="background-color: white; color: #333333;">
</div>
</div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-53285665120427330392013-02-18T18:53:00.002-08:002013-02-18T19:08:45.089-08:00นางสาวสุวรรณ ภาพยนต์ไทยเรื่องแรก<br />
<div class="aboveUnitContent" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px;">
<div class="userContentWrapper">
<div class="_wk" style="font-size: 15px; line-height: 18px;">
<span class="userContent" style="background-color: black; color: white;"><b>นางสาวสุวรรณ ภาพยนต์ไทยเรื่องแรก</b><br /><br />แม้ว่าระหว่าง ปี 2450-2465 จะเป็นช่วงที่มีกิจการของภาพยนต์ในสยามคึกคักมาก โดยในปี 2470 มีโรงภาพยนต์ทั่วประเทศ กว่า 68 โรง ในพระนคร มี 12 โรง ต่างจังหวัด 56 โรง ปี 2476 เกิดโรงหนังที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นค<span class="text_exposed_show" style="display: inline;">ือ ศาลาเฉลิมกรุง แต่ที่ฉายก็ล้วนเป็นหนังฝรั่ง<br /><br />ปี พ.ศ. 2465 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีกลุ่มนักสร้างภาพยนตร์ชาวอเมริกันจากบริษัทยูนิเวอร์ซัล เดินทางเข้ามาดูสถานที่ถ่ายทำในเมืองไทยเพื่อทำหนังสารคดีในปี 2465 แต่เมื่อเดินทางมาถึงเมืองไทยนายเฮนรี แมกเร ผู้กำกับของ บริษัทยูนิเวอร์ซัล ฮอลลีวูด รู้สึกประทับใจในความสวยงามของภูมิประเทศ จึงตัดสินใจสร้างหนังเรื่องยาวแทน นายเฮนรี แมกเร จึงเดินทางมาขอพระบรมราชานุญาตถ่ายภาพยนตร์เรื่อง นางสาวสุวรรณ ซึ่งเป็นนิยายรักของชาวสยามและใช้คนไทยแสดงตลอดเรื่อง<br /><br />พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 นอกจากจะทรงอนุญาตแล้ว ยังทรงโปรดให้กรมรถไฟหลวง และกรมมหรสพหลวง ร่วมงานกับนายแมกเร ด้วย โดยกรมรถไฟหลวงอำนวยความสะดวกในการหาสถานที่ถ่ายทำ การเดินทางขนส่ง การล้างและพิมพ์สำเนาฟิล์มภาพยนตร์ และกรมมหรสพช่วยหาผู้แสดงให้<br /><br />โดยมีผู้แสดงสำคัญในหนังเรื่องนี้ได้แก่ นางสาวเสงี่ยม นาวีเสถียร นางรำในกรมมหรสพหลวง แสดงเป็น นางสาวสุวรรณ, ขุมรามภรตศาสตร์ (ยม มงคลนัฎ) ตัวโขนพระรามของกรมศิลปากร แสดงเป็น นายกล้าหาญ ตัวพระเอก และ หลวงภรตกรรรมโกศล (มงคล สุมนนัฎ) สมุหบาญชี แสดงเป็น นายกองแก้ว ซึ่งเป็นตัวโกง<br /><br />สถานที่ถ่ายทำนอกจากในกรุงเทพฯแล้ว ยังเดินทางไปที่หัวหิน เพื่ออวดสถานที่ตากอากาศของกรุงสยามและที่เชียงใหม่อีกแห่ง เพื่อแสดงภาพการทำป่าไม้ แต่ในระหว่างถ่ายทำ มีข่าวว่าเฮนรี แมกเรไปถ่ายฉากประหารชีวิตด้วยการตัดคอที่ เชียงใหม่ เนื่องจากตามเนื้อเรื่อง พระเอกถูกใส่ร้ายจนเกือบโดนประหารชีวิต แต่นางเอกมาช่วยทัน เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปจึงมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจพิจารณาก่อนฉาย และให้ตัดฉากประหารชีวิตออก ภาพยนตร์เรื่องนี้ นำไปสู่กลไกการควบคุมการสร้างภาพยนตร์ในเวลาต่อมา<br /><br />เมื่อถ่ายทำเสร็จสมบูรณ์ นายเฮนรี แมกเร ได้นำขึ้นถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตร และมอบกรรมสิทธิ์สำเนาหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ให้กับกรมรถไฟหลวง สำหรับนำออกฉายในประเทศไทย ภาพยนตร์เรื่อง นางสาวสุวรรณ ออกฉายในกรุงสยามเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2465 ท่ามกลางความตื่นเต้นของประชาชน และได้เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาด้วย ใช้ชื่อว่า "Kingdom of Heaven"<br /><br />นางสาวสุวรรณ (อังกฤษ: Miss Suwanna of Siam) เป็นภาพยนตร์ใบ้ แนวรักใคร่ ค.ศ.1923 ขนาดสามสิบห้ามิลลิเมตร ความยาวแปดม้วน เขียนบทและกำกับโดย เฮนรี แม็กเร (Henry MacRae) และเป็นเรื่องแรกที่ถ่ายทำในประเทศสยาม (ต่อมาคือ ประเทศไทย) โดยฮอลลีวูด ที่ใช้นักแสดงชาวสยามทั้งหมด เริ่มถ่ายทำเมื่อต้นเดือนมีนาคมและสร้างเสร็จเมื่อเดือนมิถุนายน ในปี พ.ศ. 2465<br /><br />เข้ามาฉายในประเทศไทยได้เพียง 3 วัน ฟิล์มต้นฉบับก็สูญหาย นับเป็นโชคร้ายที่ปัจจุบันไม่เหลือสิ่งใดเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้อีกเลย นอกจากวัสดุประชาสัมพันธ์และของชำร่วยเล็ก ๆ น้อย ซึ่งรักษาไว้ที่ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)</span></span></div>
</div>
</div>
<div class="photoUnit clearfix" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 0px -15px; overflow: hidden; position: relative; zoom: 1;">
<div class="_53s uiScaledThumb photo photoWidth1" data-cropped="1" data-gt="{"fbid":"467949186592698"}" style="float: left; overflow: hidden; position: relative;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;"><a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=467949186592698&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-frc1%2F856131_467949186592698_591734666_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-snc6%2F307941_467949186592698_591734666_n.jpg&size=2048%2C1453&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=467949186592698&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="cursor: pointer;"></a></span></span><br />
<div class="uiScaledImageContainer photoWrap" style="height: 403px; margin-left: 3px; overflow: hidden; position: relative; width: 403px;">
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=467949186592698&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-frc1%2F856131_467949186592698_591734666_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-snc6%2F307941_467949186592698_591734666_n.jpg&size=2048%2C1453&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=467949186592698&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="color: #3b5998; cursor: pointer;"><img alt="รูปภาพ : นางสาวสุวรรณ ภาพยนต์ไทยเรื่องแรก
แม้ว่าระหว่าง ปี 2450-2465 จะเป็นช่วงที่มีกิจการของภาพยนต์ในสยามคึกคักมาก โดยในปี 2470 มีโรงภาพยนต์ทั่วประเทศ กว่า 68 โรง ในพระนคร มี 12 โรง ต่างจังหวัด 56 โรง ปี 2476 เกิดโรงหนังที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นคือ ศาลาเฉลิมกรุง แต่ที่ฉายก็ล้วนเป็นหนังฝรั่ง
ปี พ.ศ. 2465 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีกลุ่มนักสร้างภาพยนตร์ชาวอเมริกันจากบริษัทยูนิเวอร์ซัล เดินทางเข้ามาดูสถานที่ถ่ายทำในเมืองไทยเพื่อทำหนังสารคดีในปี 2465 แต่เมื่อเดินทางมาถึงเมืองไทยนายเฮนรี แมกเร ผู้กำกับของ บริษัทยูนิเวอร์ซัล ฮอลลีวูด รู้สึกประทับใจในความสวยงามของภูมิประเทศ จึงตัดสินใจสร้างหนังเรื่องยาวแทน นายเฮนรี แมกเร จึงเดินทางมาขอพระบรมราชานุญาตถ่ายภาพยนตร์เรื่อง นางสาวสุวรรณ ซึ่งเป็นนิยายรักของชาวสยามและใช้คนไทยแสดงตลอดเรื่อง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 นอกจากจะทรงอนุญาตแล้ว ยังทรงโปรดให้กรมรถไฟหลวง และกรมมหรสพหลวง ร่วมงานกับนายแมกเร ด้วย โดยกรมรถไฟหลวงอำนวยความสะดวกในการหาสถานที่ถ่ายทำ การเดินทางขนส่ง การล้างและพิมพ์สำเนาฟิล์มภาพยนตร์ และกรมมหรสพช่วยหาผู้แสดงให้
โดยมีผู้แสดงสำคัญในหนังเรื่องนี้ได้แก่ นางสาวเสงี่ยม นาวีเสถียร นางรำในกรมมหรสพหลวง แสดงเป็น นางสาวสุวรรณ, ขุมรามภรตศาสตร์ (ยม มงคลนัฎ) ตัวโขนพระรามของกรมศิลปากร แสดงเป็น นายกล้าหาญ ตัวพระเอก และ หลวงภรตกรรรมโกศล (มงคล สุมนนัฎ) สมุหบาญชี แสดงเป็น นายกองแก้ว ซึ่งเป็นตัวโกง
สถานที่ถ่ายทำนอกจากในกรุงเทพฯแล้ว ยังเดินทางไปที่หัวหิน เพื่ออวดสถานที่ตากอากาศของกรุงสยามและที่เชียงใหม่อีกแห่ง เพื่อแสดงภาพการทำป่าไม้ แต่ในระหว่างถ่ายทำ มีข่าวว่าเฮนรี แมกเรไปถ่ายฉากประหารชีวิตด้วยการตัดคอที่ เชียงใหม่ เนื่องจากตามเนื้อเรื่อง พระเอกถูกใส่ร้ายจนเกือบโดนประหารชีวิต แต่นางเอกมาช่วยทัน เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปจึงมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจพิจารณาก่อนฉาย และให้ตัดฉากประหารชีวิตออก ภาพยนตร์เรื่องนี้ นำไปสู่กลไกการควบคุมการสร้างภาพยนตร์ในเวลาต่อมา
เมื่อถ่ายทำเสร็จสมบูรณ์ นายเฮนรี แมกเร ได้นำขึ้นถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตร และมอบกรรมสิทธิ์สำเนาหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ให้กับกรมรถไฟหลวง สำหรับนำออกฉายในประเทศไทย ภาพยนตร์เรื่อง นางสาวสุวรรณ ออกฉายในกรุงสยามเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2465 ท่ามกลางความตื่นเต้นของประชาชน และได้เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาด้วย ใช้ชื่อว่า "Kingdom of Heaven"
นางสาวสุวรรณ (อังกฤษ: Miss Suwanna of Siam) เป็นภาพยนตร์ใบ้ แนวรักใคร่ ค.ศ.1923 ขนาดสามสิบห้ามิลลิเมตร ความยาวแปดม้วน เขียนบทและกำกับโดย เฮนรี แม็กเร (Henry MacRae) และเป็นเรื่องแรกที่ถ่ายทำในประเทศสยาม (ต่อมาคือ ประเทศไทย) โดยฮอลลีวูด ที่ใช้นักแสดงชาวสยามทั้งหมด เริ่มถ่ายทำเมื่อต้นเดือนมีนาคมและสร้างเสร็จเมื่อเดือนมิถุนายน ในปี พ.ศ. 2465
เข้ามาฉายในประเทศไทยได้เพียง 3 วัน ฟิล์มต้นฉบับก็สูญหาย นับเป็นโชคร้ายที่ปัจจุบันไม่เหลือสิ่งใดเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้อีกเลย นอกจากวัสดุประชาสัมพันธ์และของชำร่วยเล็ก ๆ น้อย ซึ่งรักษาไว้ที่ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)" class="scaledImageFitWidth img" height="403" src="https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc6/c82.0.403.403/p403x403/307941_467949186592698_591734666_n.jpg" style="border: 0px; height: auto; min-height: 100%; position: relative; width: 403px;" width="403" /></a></div>
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=467949186592698&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-frc1%2F856131_467949186592698_591734666_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-snc6%2F307941_467949186592698_591734666_n.jpg&size=2048%2C1453&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=467949186592698&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="background-color: white; color: #3b5998; cursor: pointer;">
</a><div style="background-color: white; color: #333333;">
</div>
</div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-3193889752102553802013-02-18T18:51:00.002-08:002013-02-18T19:09:08.477-08:00นายขนมต้ม นักมวยชาวกรุงศรีอยุธยา ผู้โด่งดังในแผ่นดินอังวะ<br />
<div class="aboveUnitContent" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px;">
<div class="userContentWrapper">
<div class="_wk" style="font-size: 15px; line-height: 18px;">
<span class="userContent" style="background-color: black; color: white;"><b>นายขนมต้ม นักมวยชาวกรุงศรีอยุธยา ผู้โด่งดังในแผ่นดินอังวะ</b><br /><br />นายขนมต้ม (พ.ศ. 2293 - ?) เป็นนักมวยคาดเชือกชาวกรุงศรีอยุธยา เกิดที่ตำบลบ้านกุ่ม อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรนายเกิด และนางอี่ มีพี่สาวชื่อนางเอื้อย ทั้งพ่อแม่และพี่<span class="text_exposed_show" style="display: inline;">ถูกพม่าฆ่าตายหมด และต้องไปอยู่วัดตั้งแต่เล็ก นายขนมต้มถูกพม่ากวาดต้อนไปเชลยในระหว่างเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2<br /><br />ต่อมาพระเจ้าอังวะได้จัดให้มีงานสมโภชมหาเจดีชะเวดากองขึ้นและได้จัดให้มีการแข่งขันชกมวยขึ้นด้วย พระองค์ต้องการทอดพระเนตรนักมวยที่มีฝีมือดี ๆ ขุนนางพม่ากราบทูลว่า ชาวไทยมีฝีมือมวยไทยดีเกือบทุกคน พระเจ้าอังวะจึงตรัสสั่งให้จัดนักมวยมาชกในงาน ให้มีมวยไทยที่มีฝีมือดีคนหนึ่ง ชื่อ “นายขนมต้ม”<br /><br />นายขนมต้ม เป็นชาวบ้านที่มีฝีมือในเชิงมวยไทยดีคนหนึ่งตั้งแต่ก่อนที่จะเสียกรุง ขุนนางพม่าได้นำตัวนายขนมต้ม เข้าถวายพระเจ้าอังวะ พระเจ้าอังวะจึงโปรดให้จัดนักมวยพม่าเข้ามาเปรียบมวยด้วย นายขนมต้ม เมื่อได้คู่ชกพระองค์ก็โปรดให้ชกกันหน้าพระที่นั่ง<br /><br />ในพงศาวดารกล่าวว่า<br />เมื่อพระเจ้ามังระโปรดให้ปฏิสังขรณ์และก่อเสริมพระเจดีย์ชเวดากองในเมืองย่างกุ้งเป็นการใหญ่นั้น ครั้นงานสำเร็จลงในปี พ.ศ. 2317 พอถึงวันฤกษ์งามยามดี คือวันที่ 17 มีนาคม จึงโปรดให้ทำพิธียกฉัตรใหญ่ขึ้นไว้บนยอดเป็นปฐมฤกษ์ แล้วได้ทรงเปิดงานมหกรรมฉลองอย่างมโหฬาร ขุนนางพม่ากราบทูลว่า "นักมวยไทยมีฝีมือดียิ่งนัก" พระเจ้ามังระจึงตรัสสั่งให้เอาตัวนายขนมต้ม นักมวยดีมีฝีมือตั้งแต่ครั้งกรุงเก่ามาถวาย พระเจ้ามังระได้ให้จัดมวยพม่าเข้ามาเปรียบกับนายขนมต้ม โดยจัดให้ชกต่อหน้าพระที่นั่ง ปรากฏว่านายขนมต้มชกพม่าไม่ทันถึงยกก็แพ้ถึงเก้าคนสิบคนก็สู้ไม่ได้ พระเจ้ามังระทอดพระเนตรยกพระหัตถ์ตบพระอุระตรัสสรรเสริญนายขนมต้มว่า “คนไทยนี้มีพิษสงรอบตัว แม้มือเปล่ายังเอาชนะคนได้ถึงเก้าคนสิบคน นี่หากว่ามีเจ้านายดี มีความสามัคคีกัน ไม่ขัดขากันเอง และไม่เห็นแก่ความสุขส่วนตัว และโคตรตระกูลแล้ว ไฉนเลยกรุงศรีอยุธยาจะเสียทีแก่ข้าศึก ดั่งที่เห็นอยู่ทุกวันนี้”<br /><br />เรื่องราวของนายขนมต้มประวัติศาสตร์ของพม่าก็ยังปรากฏอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ และจากการสืบค้นคว้าของกรมศิลปากร พบว่า วันที่นายขนมต้มชกกับพม่าที่หน้าพระที่นั่งในประเทศพม่านั้นคือวันที่ 17 มีนาคม พุทธศักราช 2313 ดังนั้นนักมวยไทยจึงถือเอาวันที่ 17 มีนาคม ของทุกปีเป็น “วันมวยไทย”<br /><br />ชาวพระนครศรีอยุธยาได้พร้อมใจกันสร้าง "อนุสาวรีย์นายขนมต้ม" ไว้ที่บริเวณสนามกีฬากลางจังหวัด พระนครศรีอยุธยา</span></span></div>
</div>
</div>
<div class="photoUnit clearfix" style="font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 0px -15px; overflow: hidden; position: relative; zoom: 1;">
<div class="_53s uiScaledThumb photo photoWidth1" data-cropped="1" data-gt="{"fbid":"468443153209968"}" style="float: left; overflow: hidden; position: relative;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;"><a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=468443153209968&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F858850_468443153209968_1728576019_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F13016_468443153209968_1728576019_n.jpg&size=903%2C1195&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=468443153209968&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="cursor: pointer; text-decoration: initial;"></a></span></span><br />
<div class="uiScaledImageContainer photoWrap" style="height: 403px; margin-left: 3px; overflow: hidden; position: relative; width: 403px;">
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=468443153209968&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F858850_468443153209968_1728576019_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F13016_468443153209968_1728576019_n.jpg&size=903%2C1195&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=468443153209968&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: initial;"><img alt="รูปภาพ : นายขนมต้ม นักมวยชาวกรุงศรีอยุธยา ผู้โด่งดังในแผ่นดินอังวะ
นายขนมต้ม (พ.ศ. 2293 - ?) เป็นนักมวยคาดเชือกชาวกรุงศรีอยุธยา เกิดที่ตำบลบ้านกุ่ม อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรนายเกิด และนางอี่ มีพี่สาวชื่อนางเอื้อย ทั้งพ่อแม่และพี่ถูกพม่าฆ่าตายหมด และต้องไปอยู่วัดตั้งแต่เล็ก นายขนมต้มถูกพม่ากวาดต้อนไปเชลยในระหว่างเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2
ต่อมาพระเจ้าอังวะได้จัดให้มีงานสมโภชมหาเจดีชะเวดากองขึ้นและได้จัดให้มีการแข่งขันชกมวยขึ้นด้วย พระองค์ต้องการทอดพระเนตรนักมวยที่มีฝีมือดี ๆ ขุนนางพม่ากราบทูลว่า ชาวไทยมีฝีมือมวยไทยดีเกือบทุกคน พระเจ้าอังวะจึงตรัสสั่งให้จัดนักมวยมาชกในงาน ให้มีมวยไทยที่มีฝีมือดีคนหนึ่ง ชื่อ “นายขนมต้ม”
นายขนมต้ม เป็นชาวบ้านที่มีฝีมือในเชิงมวยไทยดีคนหนึ่งตั้งแต่ก่อนที่จะเสียกรุง ขุนนางพม่าได้นำตัวนายขนมต้ม เข้าถวายพระเจ้าอังวะ พระเจ้าอังวะจึงโปรดให้จัดนักมวยพม่าเข้ามาเปรียบมวยด้วย นายขนมต้ม เมื่อได้คู่ชกพระองค์ก็โปรดให้ชกกันหน้าพระที่นั่ง
ในพงศาวดารกล่าวว่า
เมื่อพระเจ้ามังระโปรดให้ปฏิสังขรณ์และก่อเสริมพระเจดีย์ชเวดากองในเมืองย่างกุ้งเป็นการใหญ่นั้น ครั้นงานสำเร็จลงในปี พ.ศ. 2317 พอถึงวันฤกษ์งามยามดี คือวันที่ 17 มีนาคม จึงโปรดให้ทำพิธียกฉัตรใหญ่ขึ้นไว้บนยอดเป็นปฐมฤกษ์ แล้วได้ทรงเปิดงานมหกรรมฉลองอย่างมโหฬาร ขุนนางพม่ากราบทูลว่า "นักมวยไทยมีฝีมือดียิ่งนัก" พระเจ้ามังระจึงตรัสสั่งให้เอาตัวนายขนมต้ม นักมวยดีมีฝีมือตั้งแต่ครั้งกรุงเก่ามาถวาย พระเจ้ามังระได้ให้จัดมวยพม่าเข้ามาเปรียบกับนายขนมต้ม โดยจัดให้ชกต่อหน้าพระที่นั่ง ปรากฏว่านายขนมต้มชกพม่าไม่ทันถึงยกก็แพ้ถึงเก้าคนสิบคนก็สู้ไม่ได้ พระเจ้ามังระทอดพระเนตรยกพระหัตถ์ตบพระอุระตรัสสรรเสริญนายขนมต้มว่า “คนไทยนี้มีพิษสงรอบตัว แม้มือเปล่ายังเอาชนะคนได้ถึงเก้าคนสิบคน นี่หากว่ามีเจ้านายดี มีความสามัคคีกัน ไม่ขัดขากันเอง และไม่เห็นแก่ความสุขส่วนตัว และโคตรตระกูลแล้ว ไฉนเลยกรุงศรีอยุธยาจะเสียทีแก่ข้าศึก ดั่งที่เห็นอยู่ทุกวันนี้”
เรื่องราวของนายขนมต้มประวัติศาสตร์ของพม่าก็ยังปรากฏอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ และจากการสืบค้นคว้าของกรมศิลปากร พบว่า วันที่นายขนมต้มชกกับพม่าที่หน้าพระที่นั่งในประเทศพม่านั้นคือวันที่ 17 มีนาคม พุทธศักราช 2313 ดังนั้นนักมวยไทยจึงถือเอาวันที่ 17 มีนาคม ของทุกปีเป็น “วันมวยไทย”
ชาวพระนครศรีอยุธยาได้พร้อมใจกันสร้าง "อนุสาวรีย์นายขนมต้ม" ไว้ที่บริเวณสนามกีฬากลางจังหวัด พระนครศรีอยุธยา" class="scaledImageFitWidth img" height="403" src="https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/c0.0.403.403/p403x403/13016_468443153209968_1728576019_n.jpg" style="border: 0px; height: auto; min-height: 100%; position: relative; width: 403px;" width="403" /></a></div>
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=468443153209968&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F858850_468443153209968_1728576019_o.jpg&smallsrc=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F13016_468443153209968_1728576019_n.jpg&size=903%2C1195&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=468443153209968&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="background-color: white; color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: initial;">
</a><div style="background-color: white; color: #333333;">
</div>
</div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-19490613181121866432013-02-18T18:48:00.002-08:002013-02-18T18:48:57.253-08:00พันท้ายนรสิงห์ ผู้รักษากฎระเบียบ กฎมณเฑียรบาลยิ่งกว่าชีวิตตน<br />
<div class="aboveUnitContent" style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px;">
<div class="userContentWrapper">
<div class="_wk" style="line-height: 18px;">
<span class="userContent"><b>พันท้ายนรสิงห์ ผู้รักษากฎระเบียบ กฎมณเฑียรบาลยิ่งกว่าชีวิตตน</b><br /><br /><span style="font-size: 15px;">พันท้ายนรสิงห์ มีนามเดิมว่า สิงห์ แต่ก่อนท่านก็เป็นนักมวยที่เก่งมากและก็เคยขึ้นชกกับพระเจ้าเสือมาแล้ว แต่ว่าเสมอกัน พระเจ้าเสือรู้สึกประทับใจจึงให้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก แล้</span><span class="text_exposed_show" style="display: inline; font-size: 15px;">วเลื่อนขึ้นมาเป็นราชองครักษ์<br /><br />พันท้ายนรสิงห์ เป็นนายท้ายเรือพระที่นั่งเอกไชยอยู่ในรัชสมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่ 8 (พระเจ้าเสือ) ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริต จงรักภักดีและรักษาระเบียบวินัยยิ่งชีวิต<br /><br />เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ปรากฏ อยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับต่างๆ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ใน พ.ศ.2246 - 2252<br /><br />สมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่8 ประพาสปากน้ำสาครบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสมุทรสาคร) เพื่อทรงเบ็ด ด้วยเรือพระที่นั่งเอกไชย มีพันท้ายนรสิงห์เป็นนายท้าย พันท้ายนรสิงห์เป็นชาวบ้านนรสิงห์ แขวงเมืองอ่างทอง การเสด็จประพาสปากน้ำสาครบุรีในครั้งนี้ เมื่อเรือพระที่นั่งไปถึงตำบลโคกขามคลองบริเวณดังกล่าวมีความคดเคี้ยวมาก พันท้ายนรสิงห์พยายามคัดท้ายเรือพระที่นั่งอย่างระมัดระวังแต่ไม่อาจหลบเลี่ยงอุบัติเหตุได้ หัวเรือพระที่นั่งชนกิ่งไม้ใหญ่หักตกลงไปในน้ำ<br /><br />พันท้ายนรสิงห์รู้โทษดีว่า ความผิดครั้งนี้ถึงประหารชีวิตตามโบราณราชประเพณี ซึ่งกำหนดว่าถ้าผู้ใดถือท้ายเรือพระที่นั่งให้หัวเรือพระที่นั่งหัก ผู้นั้นถึงมรณะโทษให้ตัดศีรษะเสีย จึงกราบทูลพระกรุณาน้อมรับโทษตามพระราชประเพณี<br /><br />สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 ทรงพิจารณาเห็นว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นการสุดวิสัยมิใช่ความประมาท จึงพระราชทานอภัยโทษให้ แต่พันท้ายนรสิงห์กราบบังคมยืนยันขอให้ตัดศีรษะตนเพื่อรักษาขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดกฎหมาย เป็นการป้องกันมิให้ผู้ใดครหาติเตียนพระเจ้าอยู่หัวได้ว่าทรงละเลยพระราชกำหนดของแผ่นดินและเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป พระองค์ทรงโปรดให้ฝีพายทั้งปวงปั้นมูลดินเป็นรูปพันท้ายนรสิงห์ แล้วให้ตัดศีรษะรูปดินนั้นเพื่อเป็นการทดแทนกัน แต่พันท้ายนรสิงห์ยังบังคมกราบทูลยืนยันขอให้ประหารตน<br /><br />แม้สมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่ 8 จะทรงอาลัยรักน้ำใจพันท้ายนรสิงห์เพียงใดก็ทรงจำพระทัยปฎิบัติตามพระราชกำหนด ดำรัสสั่งให้เพชฌฆาตประหารพันท้ายนรสิงห์แล้วโปรดให้ตั้งศาลสูงประมาณเพียงตา นำศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับหัวเรือพระที่นั่งเอกไชยซึ่งหักนั้น ขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกันบนศาล<br /><br />แล้วทรงพระราชดำริว่าคลองโคกขามคดเคี้ยวนักไม่สะดวกต่อการเดินเรือ บางครั้งชาวเมืองต้องเดินเรืออ้อมเป็นที่ลำบากยิ่ง สมควรจะขุดลัดตัดตรง เมื่อขุดเสร็จจึงได้รับพระราชทานนามว่า "คลองสนามไชย" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "คลองมหาชัย" ทั้งนี้เพื่อเป็นการรำลึกถึงพันท้ายนรสิงห์ข้าหลวงเดิมซึ่งเป็นคนซื่อสัตย์ มั่นคง ยอมเสียสละชีวิตโดยไม่ยอมเสียพระราชประเพณี<br /><br />กรมศิลปากรได้ดำเนินการจัดสร้างศาลพันท้ายนรสิงห์ขึ้น อยู่ถัดจากศาลเก่าที่พังลงไม่มากนัก โดยกันอาณาบริเวณรอบๆ ศาลไว้<br /><br />ศาลพันท้ายนรสิงห์ถูกประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 72 ตอนที่ 2 เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2498 กรมศิลปากรได้ดำเนินการจัดสร้างศาลพันท้ายนรสิงห์ขึ้น อยู่ถัดจากศาลเก่าที่พังลงมาไม่มากนัก โดยกันอาณาบริเวณรอบๆ ศาลไว้ประมาณ 100 ไร่ เพื่อจัดตั้งเป็น "อุทยานพันท้ายนรสิงห์" ภายในศาลมีรูปปั้นของพันท้ายนรสิงห์ขนาดเท่าของจริงในท่าถือท้ายคัดเรือ<br /><br />ที่มา : oknation.net/blog/ThaiTeacher</span></span></div>
</div>
</div>
<div class="photoUnit clearfix" style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 0px -15px; overflow: hidden; position: relative; zoom: 1;">
<div class="_53s uiScaledThumb photo photoWidth1" data-cropped="1" data-gt="{"fbid":"469249109796039"}" style="float: left; overflow: hidden; position: relative;">
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=469249109796039&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-snc7%2F404803_469249109796039_1928306249_n.jpg&size=480%2C640&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=469249109796039&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: initial;"><div class="uiScaledImageContainer photoWrap" style="height: 403px; margin-left: 3px; overflow: hidden; position: relative; width: 403px;">
<img alt="รูปภาพ : พันท้ายนรสิงห์ ผู้รักษากฎระเบียบ กฎมณเฑียรบาลยิ่งกว่าชีวิตตน
พันท้ายนรสิงห์ มีนามเดิมว่า สิงห์ แต่ก่อนท่านก็เป็นนักมวยที่เก่งมากและก็เคยขึ้นชกกับพระเจ้าเสือมาแล้ว แต่ว่าเสมอกัน พระเจ้าเสือรู้สึกประทับใจจึงให้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก แล้วเลื่อนขึ้นมาเป็นราชองครักษ์
พันท้ายนรสิงห์ เป็นนายท้ายเรือพระที่นั่งเอกไชยอยู่ในรัชสมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่ 8 (พระเจ้าเสือ) ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริต จงรักภักดีและรักษาระเบียบวินัยยิ่งชีวิต
เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ปรากฏ อยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับต่างๆ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ใน พ.ศ.2246 - 2252
สมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่8 ประพาสปากน้ำสาครบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสมุทรสาคร) เพื่อทรงเบ็ด ด้วยเรือพระที่นั่งเอกไชย มีพันท้ายนรสิงห์เป็นนายท้าย พันท้ายนรสิงห์เป็นชาวบ้านนรสิงห์ แขวงเมืองอ่างทอง การเสด็จประพาสปากน้ำสาครบุรีในครั้งนี้ เมื่อเรือพระที่นั่งไปถึงตำบลโคกขามคลองบริเวณดังกล่าวมีความคดเคี้ยวมาก พันท้ายนรสิงห์พยายามคัดท้ายเรือพระที่นั่งอย่างระมัดระวังแต่ไม่อาจหลบเลี่ยงอุบัติเหตุได้ หัวเรือพระที่นั่งชนกิ่งไม้ใหญ่หักตกลงไปในน้ำ
พันท้ายนรสิงห์รู้โทษดีว่า ความผิดครั้งนี้ถึงประหารชีวิตตามโบราณราชประเพณี ซึ่งกำหนดว่าถ้าผู้ใดถือท้ายเรือพระที่นั่งให้หัวเรือพระที่นั่งหัก ผู้นั้นถึงมรณะโทษให้ตัดศีรษะเสีย จึงกราบทูลพระกรุณาน้อมรับโทษตามพระราชประเพณี
สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 ทรงพิจารณาเห็นว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นการสุดวิสัยมิใช่ความประมาท จึงพระราชทานอภัยโทษให้ แต่พันท้ายนรสิงห์กราบบังคมยืนยันขอให้ตัดศีรษะตนเพื่อรักษาขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดกฎหมาย เป็นการป้องกันมิให้ผู้ใดครหาติเตียนพระเจ้าอยู่หัวได้ว่าทรงละเลยพระราชกำหนดของแผ่นดินและเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป พระองค์ทรงโปรดให้ฝีพายทั้งปวงปั้นมูลดินเป็นรูปพันท้ายนรสิงห์ แล้วให้ตัดศีรษะรูปดินนั้นเพื่อเป็นการทดแทนกัน แต่พันท้ายนรสิงห์ยังบังคมกราบทูลยืนยันขอให้ประหารตน
แม้สมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่ 8 จะทรงอาลัยรักน้ำใจพันท้ายนรสิงห์เพียงใดก็ทรงจำพระทัยปฎิบัติตามพระราชกำหนด ดำรัสสั่งให้เพชฌฆาตประหารพันท้ายนรสิงห์แล้วโปรดให้ตั้งศาลสูงประมาณเพียงตา นำศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับหัวเรือพระที่นั่งเอกไชยซึ่งหักนั้น ขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกันบนศาล
แล้วทรงพระราชดำริว่าคลองโคกขามคดเคี้ยวนักไม่สะดวกต่อการเดินเรือ บางครั้งชาวเมืองต้องเดินเรืออ้อมเป็นที่ลำบากยิ่ง สมควรจะขุดลัดตัดตรง เมื่อขุดเสร็จจึงได้รับพระราชทานนามว่า "คลองสนามไชย" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "คลองมหาชัย" ทั้งนี้เพื่อเป็นการรำลึกถึงพันท้ายนรสิงห์ข้าหลวงเดิมซึ่งเป็นคนซื่อสัตย์ มั่นคง ยอมเสียสละชีวิตโดยไม่ยอมเสียพระราชประเพณี
กรมศิลปากรได้ดำเนินการจัดสร้างศาลพันท้ายนรสิงห์ขึ้น อยู่ถัดจากศาลเก่าที่พังลงไม่มากนัก โดยกันอาณาบริเวณรอบๆ ศาลไว้
ศาลพันท้ายนรสิงห์ถูกประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 72 ตอนที่ 2 เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2498 กรมศิลปากรได้ดำเนินการจัดสร้างศาลพันท้ายนรสิงห์ขึ้น อยู่ถัดจากศาลเก่าที่พังลงมาไม่มากนัก โดยกันอาณาบริเวณรอบๆ ศาลไว้ประมาณ 100 ไร่ เพื่อจัดตั้งเป็น "อุทยานพันท้ายนรสิงห์" ภายในศาลมีรูปปั้นของพันท้ายนรสิงห์ขนาดเท่าของจริงในท่าถือท้ายคัดเรือ
ที่มา : oknation.net/blog/ThaiTeacher" class="scaledImageFitWidth img" height="403" src="https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc7/c0.0.403.403/p403x403/404803_469249109796039_1928306249_n.jpg" style="border: 0px; height: auto; min-height: 100%; position: relative; width: 403px;" width="403" /></div>
</a></div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-52208560690953136672013-02-18T18:47:00.002-08:002013-02-18T18:47:40.005-08:00พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช <br />
<div class="aboveUnitContent" style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px;">
<div class="userContentWrapper">
<div class="_wk" style="font-size: 15px; line-height: 18px;">
<span class="userContent"><div class="text_exposed_root text_exposed" id="id_5122e770c79c57622193742" style="display: inline;">
พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช หรือชื่อเดิมว่า บุตร พันธรักษ์ เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 ที่บ้านอ้ายเขียว หมู่ที่ 5 ตำบลดอนตะโก อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายอ้ว<span class="text_exposed_show" style="display: inline;">น นางทองจันทร์ พันธรักษ์<br /><br />พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช อดีตนายตำรวจชื่อดังของวงการตำรวจไทย ซึ่งท่านมีชื่อเสียงเป็นอันมากในการปราบโจรร้ายในภูมิภาคต่างๆของไทย ในภาคกลางเช่น เสือฝ้าย เสือย่อง เสือผ่อน เสือครึ้ม เสือปลั่ง เสือใบ เสืออ้วน เสือดำ เสือไหว เสือมเหศวร ที่พัทลุง ปราบ เสือสังหรือเสือพุ่ม ที่นราธิวาส ปราบผู้ร้ายทางการเมือง ในปี พ.ศ. 2481 หัวหน้าโจรชื่อ “อะเวสะดอตาเละ” จนท่านได้ฉายาจากชาวไทยมุสลิมว่า “รายอกะจิ” ซึ่งแปลว่า อัศวินพริกขี้หนู จากผลงานที่ท่านสามารถปราบโจร เสือร้ายต่างๆ ได้มากมาย จึงได้รับฉายา ดังต่อไปนี้<br /><br />-นายพลตำรวจหนังเหนียวผู้จับเสือมือเปล่า<br />-นายพลตำรวจหนวดเขี้ยว<br />-ขุนพันธ์ฯ ดาบแดง (เชื่อกันว่าเป็นดาบที่ตกทอดมาจาก พระยาพิชัยดาบหัก ฝักดาบมีถุงผ้าสีแดงห่อหุ้ม ตัวดาบมีความคมกล้ายิ่งนัก )<br />-รายอกะจิ (อัศวินพริกขี้หนู) ฯลฯ<br />-จอมขมังเวท<br /><br />พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นคนสุดท้ายของประเทศไทยที่ได้รับพระราชทานทินนาม ซึ่งพลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคชรา ในวันที่ 5 เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช 2549 เวลา 23.27 น. ที่บ้านเลขที่ 764/5 ซ.ราชเดช ถ.ราชดำเนิน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช อายุได้ 103 ปี</span></div>
</span></div>
</div>
</div>
<div class="photoUnit clearfix" style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 0px -15px; overflow: hidden; position: relative; zoom: 1;">
<div class="_53s uiScaledThumb photo photoWidth1" data-cropped="1" data-gt="{"fbid":"470008206386796"}" style="float: left; overflow: hidden; position: relative;">
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=470008206386796&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-prn1%2F45306_470008206386796_1646117925_n.jpg&size=640%2C926&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=470008206386796&set=a.435240936530190.98873.435087346545549&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="color: #3b5998; cursor: pointer;"><div class="uiScaledImageContainer photoWrap" style="height: 403px; margin-left: 3px; overflow: hidden; position: relative; width: 403px;">
<img alt="รูปภาพ : 18 กุมภาพันธ์ วันคล้ายวันเกิดขุนพันธรักษ์ราชเดช
พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช หรือชื่อเดิมว่า บุตร พันธรักษ์ เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 ที่บ้านอ้ายเขียว หมู่ที่ 5 ตำบลดอนตะโก อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายอ้วน นางทองจันทร์ พันธรักษ์
พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช อดีตนายตำรวจชื่อดังของวงการตำรวจไทย ซึ่งท่านมีชื่อเสียงเป็นอันมากในการปราบโจรร้ายในภูมิภาคต่างๆของไทย ในภาคกลางเช่น เสือฝ้าย เสือย่อง เสือผ่อน เสือครึ้ม เสือปลั่ง เสือใบ เสืออ้วน เสือดำ เสือไหว เสือมเหศวร ที่พัทลุง ปราบ เสือสังหรือเสือพุ่ม ที่นราธิวาส ปราบผู้ร้ายทางการเมือง ในปี พ.ศ. 2481 หัวหน้าโจรชื่อ “อะเวสะดอตาเละ” จนท่านได้ฉายาจากชาวไทยมุสลิมว่า “รายอกะจิ” ซึ่งแปลว่า อัศวินพริกขี้หนู จากผลงานที่ท่านสามารถปราบโจร เสือร้ายต่างๆ ได้มากมาย จึงได้รับฉายา ดังต่อไปนี้
-นายพลตำรวจหนังเหนียวผู้จับเสือมือเปล่า
-นายพลตำรวจหนวดเขี้ยว
-ขุนพันธ์ฯ ดาบแดง (เชื่อกันว่าเป็นดาบที่ตกทอดมาจาก พระยาพิชัยดาบหัก ฝักดาบมีถุงผ้าสีแดงห่อหุ้ม ตัวดาบมีความคมกล้ายิ่งนัก )
-รายอกะจิ (อัศวินพริกขี้หนู) ฯลฯ
-จอมขมังเวท
พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นคนสุดท้ายของประเทศไทยที่ได้รับพระราชทานทินนาม ซึ่งพลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคชรา ในวันที่ 5 เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช 2549 เวลา 23.27 น. ที่บ้านเลขที่ 764/5 ซ.ราชเดช ถ.ราชดำเนิน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช อายุได้ 103 ปี" class="scaledImageFitWidth img" height="403" src="https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/c0.0.403.403/p403x403/45306_470008206386796_1646117925_n.jpg" style="border: 0px; height: auto; min-height: 100%; position: relative; width: 403px;" width="403" /></div>
</a></div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-91154817759044325402013-02-18T18:26:00.002-08:002013-02-18T18:26:46.263-08:00ประวัติศาสตร์ค่ายบางระจัน<span aria-live="polite" class="fbPhotosPhotoCaption" data-ft="{"type":45}" id="fbPhotoSnowliftCaption" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px; outline: none; width: auto;" tabindex="0"><span class="hasCaption"></span></span><br />
<div class="text_exposed_root text_exposed" id="id_5122e26d0033c6604740200" style="display: inline;">
ประวัติศาสตร์ค่ายบางระจัน<br /><br /> พ.ศ ๒๓๐๘ เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราช<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ที่ ๓ หรือ พระเจ้าบรมโกศ เสด็จสวรรคตในปีพ.ศ. ๒๓๐๑ ทรงมอบราชสมบัติให้สมเด็จพร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ะบรมราชาธิราชที่ ๔ หรือพระนามที่เรามักเรียกว่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>า กรมขุนพรพินิต แต่เมื่อครองราชสมบัติได้ ๑๐ วันก็ทรงถวายราชสมบัติให้แก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรัก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ษ์มนตรี ซึ่งเป็นพระเชษฐาธิราชของกร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>มขุนพรพินิต ทรงพระนามว่า ...สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ หรือที่เรียกกันว่า สมเด็จพระที่นั่งสุ<span class="text_exposed_show" style="display: inline;">ริยาศอมรินทร์ หรือสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ<br /><br /> สมเด็จพระเจ้าเอกทัศมิได้ทร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งพระปรีชาสามารถในงานการปกค<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รองบ้านเมือง พระอุปนิสัยส่วนพระองค์ก็ไม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่ทรงเข้มแข็งเด็ดขาด ซึ่งเป็นคุณสมบัติอันจำเป็น<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ที่พระเจ้าแผ่นดินจะพึงมีทำ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ให้บรรดาข้าราชบริวาร และเหล่าเจ้านายทั้งหลายเกิ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ดความระส่ำระส่าย ต่างคิดเอาใจออกห่าง ทั้งแบ่งพรรคแบ่งพวกไม่เกิด<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ความสามัคคีในหมู่ราชการ ไม่เต็มใจปฏิบัติงานราชการ<br /><br />ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๓๐๒ พระเจ้าอลองพญามังลอง และมังระราชบุตร ยกกองทัพมาตีเมืองทวาย มะริด และตะนาวศรีซื่งเป็นของไทยใ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นสมัยนั้น (ปัจจุบันเมืองทั้ง ๓ เป็นเมืองของสหภาพพม่าอยู่ท<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>างด้านทิศตะวันตกของไทยใกล้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>จังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี และประจวบคีรีขันธ์) สมเด็จพระเจ้าเอกทัศโปรดให้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กองทัพไทย ออกไปป้องกันถึง ๓ กองทัพ แต่ก็แตกพ่ายกลับพระนครทั้ง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>สิ้น ทางฝ่ายพม่าเมื่อเห็นไทยแตก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>พ่ายก็ได้ใจเร่งยกทัพล่วงเข<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>้ามาในเขตไทย จนกระทั่งมาตั้งทัพหลวงที่เ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>มืองสุพรรณบุรี<br /><br />ครั้งนั้นบรรดาข้าราชการและ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ราษฎรต่างพากันไปกราบทูลวิง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>วอน เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตให้ทรง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ลาผนวชออกมาช่วยป้องกันรักษ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าพระนคร เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตทรงลาผ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นวชออกมารักษาพระนครให้แข็ง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ขันกว่าเดิม ทรงส่งกองทัพออกไปตั้งรับข้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าศึก<br />ถึงกระนั้นก็ตามกองทัพไทยก็<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>แตกพ่ายทุกทัพ “ด้วยข้าราชการมิได้ปฎิบัติ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ราชการสงครามอย่างแท้จริง”<br /><br />พม่าสามารถยกเข้าถึงชานกรุง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ศรีอยุธยา ใชัปืนใหญ่ระดมยิง พระราชวัง เผอิญพระเจ้าอลองพญามังลอถู<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กรางปืนแตกต้องพระองค์ประชว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ร กองทัพพม่าจึงจำต้องยกกลับไ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ป ซึ่งต่อมาพระเจ้าอลองพญามัง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ลอก็ถึงแก่สวรรคต มังลอราชบุตรขึ้นเป็นกษัตริ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ย์ในปี พ.ศ. ๒๓๐๗<br /><br />พระเจ้ามังละเห็นว่าครั้งที<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่แล้วต้องยกทัพกลับเพราะพระ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>เชษฐาประชวร จึงยังตีกรุงศรีอยุธยาไม่แต<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ก จำต้องยกทัพไปอีกครั้ง ปี พ.ศ. ๒๓๐๘ พระเจ้ามังระมีบัญชาให้มังม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>หานรธาเป็นแม่ทัพใหญ่นำไพร่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>พล๑๕,๐๐๐ คนยกทัพเข้ามาทางใต้ ส่วนทางเหนือให้เนเมียวสีหบ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ดีเป็นแม่ทัพใหญ่นำไพร่พลปร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ะมาณ ๑๐,๐๐๐ คน เคลื่อนกองทัพออกจากเมืองเช<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ียงใหม่ กองทัพของมังมหานรธายกมาทาง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ใต้เข้าตีเมืองทวายเมื่อตีไ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ด้แล้ว ก็เลยไปตีเมืองมะริดและเมือ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งตะนาวศรีของไทยด้วย พม่าได้ใจ ยกล่วงต่อไปทางเมืองกระ พม่าเผาเมืองชุมพร ตีเมืองปะทิวเมืองกุย ตลอดจนถึงปราณ แตกทั้ง ๓ เมือง มังมหานรธาส่งทัพหน้าเข้ามา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ทางกาญจนบุรีในเดือน ๗ ปีนั้นปะทะกับกับทัพพระยาพิ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>เรนทรเทพ ที่ตั้งรอทัพพม่าอยู่ แต่ทัพไทยแตกพ่าย พม่ายกทัพเข้ามาตั้งค่ายอยู<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่ที่ตำบลบ้านลูกแก ฆ่าฟันลูกค้าที่มาจอดเรืออย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ู่แถบนั้นล้มตายเป็นอันมาก จากนั้นได้เข้ามาตั้งค่าย ณ ตอกระออมและดงรังหนองขาว ให้ไพร่พลต่อเรือรบเรือไล่อ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ยู่ ณ ที่นั้น แล้วจัดทัพแยกไปตีเมืองเพชร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>บุรี เมืองราชบุรี ด้านเนเมียวสีหบดียกทัพจากท<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>างเหนือเคลื่อนลงใต้ตีหัวเม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ืองต่างๆลงมา ทางกรมการเมืองเหนือมีใบบอก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ลงมาว่า ทางเหนือเนเมียวสีหบดีส่งทั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>พหน้าลงมาตั้งที่กำแพงเพชร ทำการต่อเรือรบ เรือลำเลียงพลตลอดจนสะสมเสบ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ียงอาหาร<br /><br />สมเด็จพระเจ้าเอกทัศโปรดให้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>เจ้าพระยาพิษณุโลก ยกทัพไปตีข้าศึกในเดือน ๗ ทัพหน้าของพม่าก็ยกมาจากกำแ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>พงเพชรมาตั้งค่ายที่เมืองนค<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รสวรรค์ เดือน ๑๑ เนเมียวสีหบดียกจากเชียงใหม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่มาทางด่านสวรรคโลก ตีเมืองต่างๆ เรื่อยมาจนถึงสุโขทัย ได้เมืองสุโขทัยแล้วตั้งทัพ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>มั่นอยู่ในเมือง เจ้าพระยาพิษณุโลกยกทัพไปช่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>วย แต่เกิดเหตุจลาจลที่เมืองพิ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ษณุโลก เจ้าพระยาพิษณุโลกจึงจำต้อง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ยกทัพกลับไปจัดการบ้านเมือง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span> เนเมียวสีหบดีรบกับไทยที่เม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ืองสุโขทัยจนถึงเดือนยี่ จึงได้ยกไปสมทบกับทัพหน้าที<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่กำแพงเพชร<br /><br />ในระยะแรกที่ฝ่ายไทยได้ทราบ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ข่าวการรุกรานของพม่าและต่า<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งเห็นว่าพม่าต้องยกมาตีไทยแ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>น่นอน จึงได้ตระเตรียมทัพไว้เพื่อ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รับมือ แต่การวางแผนรับมือทัพพม่าก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ลับเป็นไปโดยผิดพลาดอย่างมห<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ันต์<br /><br />ตำราพิชัยสงครามโบราณ มักจะกล่าวไว้ในบทที่ว่าถึง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ความตื้นลึกหนาบางว่า " ให้ศัตรูเป็นฝ่ายเปิดเผย ส่วนเราไม่สำแดงร่องรอยให้ป<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ระจักษ์ กระนี้ฝ่ายเรารวม แต่ศัตรูแยก เรารวมเป็นหนึ่ง ศัตรูแยกเป็นสิบ เท่ากับเราเอาสิบเข้าตีหนึ่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ง เมื่อกำลังฝ่ายเรามากแต่ศัต<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รูน้อย การที่เอากำลังมาจู่โจมกำลั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งน้อย สิ่งที่เราจะจู่โจมกับข้าศึ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กก็ง่ายดาย "<br /><br />การตั้งรับของกองทัพไทยที่ว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>างแผนไว้รับมือทัพพม่านั้น กลับทำในทางตรงกันข้ามกับหล<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ักในพิชัยสงคราม โดยไทยเราให้แยกกองทัพออกไป<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รักษาพระนครโดยรอบทิศตามหัว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>เมืองต่างๆ ทำให้กำลังในแต่ละกองลดน้อย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ลงมีรายละเอียดพอจะสรุปได้ ตามนี้คือ<br /><br />ขั้นแรก ให้เกณฑ์ทหารออกไปรักษาด่าน<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span> แบ่งกองทัพเรือออกเป็น ๙ กอง ๆละ ๒๐ ลำ ในแต่ละกองมีกำลังไพร่พลทหา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รประจำกองละ ๑,๔๐๐ คน พร้อมด้วยเครื่องศาสตราวุธ ให้นำเรือรบไป ๑ ลำ มีปืนใหญ่ ๑ กระบอก ปืนขนาดเล็ก ๑ กระบอก แล้วแบ่งไปประจำที่ต่าง ๆ ดังนี้ ๑ ให้พระราชสงกรานต์ ไปตั้งรับทัพพม่าทางปากน้ำเ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>จ้าพระยา ๒ ให้ศรีภูเบศร์ ไปตั้งรับพม่าทางเมืองพรหมบ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ุรี ๓ ให้หม่อมทิพยุพันไปตั้งรับพ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ม่าทางเมืองพรหมบุรี ๔ ให้หม่อมเทไพ ไปตั้งรับพม่าทางเมืองอินทร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>์บุรี ๕ ให้หม่อมมหาดเล็กวังหน้า ไปตั้งรับพม่าทางแม่น้ำเมือ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งสิงห์บุรี ๖ ให้หลวงศรียุทธ ไปตั้งรับพม่าทางปากน้ำหิงส<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>า ๗ ให้ศรีวรข่าน ไปตั้งรับพม่าทางปากน้ำประส<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>บ ๘ ให้พระยาจุหล่า (แขก) ไปตั้งรับพม่าทางปากน้ำพระป<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ระแดง (พระมะดัง) ๙ ให้หลวงหรทัยคุมออกไปตั้งรั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>บพม่าทางปากน้ำลำทอง ขั้นที่สอง สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ทรงมีรับสั่งให้จัดกองทัพไป<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ตั้งรับกองทัพพม่า แต่ละทัพห่างไกลกันออกไปเป็<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นจุดต่างๆ กันดังนี้ กองทัพที่ ๑ ให้พระยาพิพัฒน์โกษา เป็นแม่ทัพใหญ่คุมกองทัพ ๑๓ กอง แต่ละกองมีกำลัง ๑,๐๐๐ คน มีช้างคลุมเกราะเหล็ก ๑๐ เชือก ช้างเชือกหนื่งมีปืนใหญ่ขนา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ดเล็ก ๒ กระบอก มีควาญหัว ๑ คน กลาง ๑ คน ท้ายช้าง ๑ คน มีพลทหารถือทวนตามช้างอีกข้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>างละ ๑๐๐ คน ให้ไปตั้งรับพม่าที่เมืองมะ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ริด เมืองตะนาวศรี กองทัพที่ ๒ ให้พระยาเพชรบุรี เป็นแม่ทัพใหญ่ คุมกองทัพ ๑๑ กองแต่ละ กองจัดกำลังเหมือนกองทัพที่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span> ๑ ให้ไปตั้งรับพม่าทางเมืองสว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รรคโลก กองทัพที่ ๓ ให้ศิริธรรมราชา เป็นปลัดทัพ ให้พระยาพิพัฒน์โกษาเป็นแม่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ทัพคุมกองทัพ ๗ กองอีกทางหนึ่ง เพราะอยู่ในเขตใกล้เคียงกัน<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span> ให้ไปตั้งที่ตำบลท่ากระดานเ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ขตแดนเมืองกาญจนบุรี กองทัพที่ ๔ ให้เจ้าพระยากลาโหม คุมกองทัพ ๑๕ กอง การจัดกำลังกองทัพจัดแบบเดี<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ยวกับกองทัพที่ ๑ ให้ไปตั้งรับทัพพม่าทางเมือ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งราชบุรี กองทัพที่ ๕ ให้พระยาธิเบศร์ เป็นแม่ทัพ คุมกองทัพ ๑๔ กอง การจัดกำลังกองทัพเหมือนกอง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ทัพที่ ๑ ให้ไปตั้งรับพม่าทางเมืองรา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ชบุรี การที่ทางกรุงศรีอยุธยาได้จ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ัดเตรียมการป้องกัน พระนครและเตรียมสู้รบพม่าโด<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ยจัดแบ่งออกเป็นกองย่อยๆ มากมายและแยกไปตามจุดต่างๆ โดยกองทัพพม่ายกมาจริงๆ เพียงสองทางเท่านั้น<br /><br />ดังนั้นกองทัพไทยที่ไปอยู่อ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ีกหลายจุดที่กองทัพพม่ามิได<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>้เคลื่อนทัพผ่าน จึงไม่ได้สู้รบกับพม่าเป็นก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ารสูญเสียกำลังไปโดยปราศจาก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ประโยชน์ ส่วนทางด้านที่กองทัพพม่าเค<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ลื่อนผ่านมา ปะทะกับกองทัพไทยแต่ฝ่ายเรา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>มีน้อยกว่าเพราะได้กระจายกำ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ลังไปตามจุดต่างๆ คือเปรียบดังเอา ๑ เข้าสู้กับ ๑๐ ซึ่งแทนที่จะเอากำลัง ๑๐ ส่วนเข้าทำลายกำลัง ๑ ส่วน ฝ่ายกองทัพไทยน้อยกว่าย่อมย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ากแก่การที่จะเอาชนะ เหตุนี้น่าจะเป็นอีกเหตุหนึ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่งที่ทำให้ไทยต้องเสียกรุงเ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ป็นครั้งที่ ๒ แล้วผลการรบเป็นไปตามที่ได้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>คาดไว้ ทัพไทยพ่ายศึกในแทบทุกทางที<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่ปะทะกับกองทัพพม่า ทำให้กองทัพพม่ารุกคืบหน้าเ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ข้ามาทุกที และแล้วกรุงศรีอยุธยาก็ตกอย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ู่ในวงล้อมกองทัพพม่า<br /><br />ในขณะที่กองทัพพม่ากำลังตั้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งค่ายขยายวงล้อมกรุงศรีอยุธ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ยา ในด้านเหนือมีทัพของเนเมียว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>สีหบดียกเข้ามาตั้งค่ายใหญ่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>อยู่ที่ ตำบลวัดป่าฝ้าย ปากน้ำพระประสบ ทัพของมังมหานรธาที่ยกมาทาง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ใต้มาตั้งค่ายใหญ่ที่ ตำบลสีกุก พระเจ้ามังระส่งทัพหนุนเข้า<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>มาอีก คือ สุรินทรจอข่อง มณีจอข่อง มหาจอข่อง อากาปันยี ถือพลพันเศษยกมาทางเมาะตะมะ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span> เดินทัพเข้ามาทางอุทัยธานีม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าตั้งค่ายอยู่แชวงเมืองวิเศ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ษชัยชาญ ในเดือนยี่ พ.ศ. ๒๓๐๘ พระยาเจ่งตละเสี้ยง ตละเกล็บ คุมพลรามัญจากเมาะตะมะประมา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ณสองพันเศษเข้ามาทางกาญจนบุ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รีมาถึงค่ายตอกระออม แล้วยกทัพเรือหนุนเข้ามาตั้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งค่ายอยู่ ณ ขนอนวัดโปรดสัตว์ จากสภาพการณ์จะเห็นได้ว่าทั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>พพม่าเข้าประชิดชานพระนครกำ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ลังโอบล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>เกือบจะรอบอยู่แล้ว ในช่วงนี้เองที่เกิดวีรกรรม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ของชาวบ้านบางระจันการต่อสู<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>้ระหว่างกองทัพพม่ากับชาวบ้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>านธรรมดาโดยลำพัง ซึ่งเป็นชาวบางระจันรวมตัวก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ับชาวเมืองใกล้เคียงอันได้แ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ก่ ชาวเมืองวิเศษชัยชาญ เมืองสิงห์บุรี เมืองสรรค์บุรี<br /><br />เป็นวีรกรรมของพลเมืองธรรมด<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าที่ลุกขึ้นต่อสู้ การรุกรานอันกดขี่ของพม่า พวกเขาเหล่านั้นต่อสู้กับคว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ามอยุติธรรม ความโหดเหี้ยมของผู้รุกราน ซึ่งทั้งปล้นชิงทรัพย์สินหญ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ิงสาวถูกข่มขืนและนำไปเป็นน<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>างบำเรอ ปล้นบ้านเผาเมือง ทำลายไร่นาเก็บเอาผลผลิตไปห<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>มดสิ้น ใครขัดขวางจะถูกฆ่า จับผู้คนกวาดต้อนไปเป็นเชลย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>เพื่อใช้แรงงานเป็นทาส ความเดือดร้อนเกิดขึ้นทุกหย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่อมหญ้า แผ่นดินแทบลุกเป็นไฟ อิสรภาพกำลังถูกคุกคามจากน้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ำมือผู้รุกราน ผู้ที่จะทำให้ไทย ที่"ไท" ซึ่ง หมายความว่า ผู้ยิ่งใหญ่ ต้องแปดเปื้อนอีกครั้ง ราชการบ้านเมืองก็อ่อนแอจะห<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าผู้ใดมาปกป้องก็หาได้ไม่ จนเหลือกำลังสุดที่จะทนต่อไ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ปได้อีก<br /><br />เหตุการณ์อันเป็นวีรกรรมที่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ประวัติศาสตร์ไทยต้องจารึกถ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ึงความกล้าหาญ ความสามัคคี การยอมสละชีพเพื่อต่อต้านข้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าศึก ไม่ก้มหัวให้ศัตรูที่ได้กระ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ทำโดยชาวบ้านธรรมดาอันปราศจ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ากกองทัพใดๆ เข้าช่วยเหลือ วีรกรรมของชาวบ้านบางระจันเ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ริ่มขึ้นเมื่อ เนเมียวสีหบดีแม่ทัพพม่าที่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>เคลื่อน ทัพมาจากทางเหนือได้ส่งทหาร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กองหนึ่งออกลาดตระเวน กวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินท<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>างเมืองวิเศษชัยชาญ เท่านั้นยังไม่พอ หากพบว่าบ้านใดมีลูกสาวก็เร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ียกเอาตัวด้วยหากไม่ให้ก็ฉุ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ดคร่าเอามา หากต่อสู้ก็ฆ่าทิ้งเสีย ทำให้คนไทยโกรธแค้นพม่ามากย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ิ่งขึ้นทนต่อการกระทำของทหา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รพม่าอีกไม่ได้ จึงแอบคบคิดกันต่อสู้พม่า<br /><br />ในเดือน ๓ ปีระกา พ.ศ. ๒๓๐๘ พวกชาวเมืองวิเศษชัยชาญ เมืองสิงห์ เมืองสรรค์ และชาวบ้านใกล้เคียง พากันคบคิดอุบายเพื่อล่อลวง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>พม่า ทั้งรวบรวมผู้คนไว้เพื่อทำก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าร ในบรรดาชาวบ้านที่ร่วมกันอย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ู่นี้มีหัวหน้าที่สำคัญคือ นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมือง ชาวบ้านสีบัวทอง แขวงเมืองสิงห์ นายดอก ชาวบ้านกรับ และนายทองแก้ว บ้านโพทะเล แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ ชาวไทยเหล่านี้ต่างพากันหลอ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กลวงพม่าว่าจะนำไปหาทรัพย์ส<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ิ่งของที่ต้องการพม่าหลงเชื<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่อตามไป ก็ถูกนายโชติซึ่งคุมสมัครพร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รคพวกซุ่มอยู่บุกเข้ามาฆ่าฟ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ันพม่าตายประมาณ ๒๐ คน และชาวบ้านที่ร่วมก่อการก็พ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าพรรคพวกครอบครัวอพยพหันมาพ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ึ่งพระอาจารย์ธรรมโชติ ซึ่งมีกิตติศัพท์ว่ามีคุณคว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ามรู้ดีเชี่ยวชาญทางวิทยาคม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>มาก<br /><br />ต่อมานายแท่นและผู้มีชื่ออื<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่นๆ ชักชวนชาวบ้านได้อีกประมาณ ๔๐๐ คนเศษพากันมาอยู่ที่บ้านบาง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ระจัน หลังจากนั้นก็ตั้งค่ายขึ้นท<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ี่บ้านบางระจัน ๒ ค่าย คือ ค่ายใหญ่และค่ายน้อย ทั้งนี้เพื่อป้องกันทหารพม่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าที่จะยกติดตามมาพระอาจารย์<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ธรรมโชติได้ลงตะกรุดประเจีย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ดมงคล แจกจ่ายชาวค่าย สำหรับป้องกันตัวและเป็นกำล<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ังใจ นอกจากนี้มีคนไทยชั้นหัวหน้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าที่เข้ามาร่วมด้วยอีก ๕ คน คือขุนสรรค์ พันเรือง นายทองเหม็น นายจันหนวดเขี้ยว และนายทองแสงใหญ่ รวมหัวหน้าที่สำคัญของค่ายบ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>างระจันครั้งนั้นรวม ๑๑ คน ท่านเหล่านี้รวมทั้งชาวบ้าน<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>อื่นๆ ได้สู้รบกับพม่าถึง ๘ ครั้ง แม้จะเสียเปรียบด้านอาวุธแล<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ะกำลังไพร่พลแต่ด้วยความรัก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ชาติ ความสามัคคี ความกล้าหาญ ตลอดจนความเสียสละ จึงทำให้ได้รับชัยชนะถึง ๗ ครั้งอันเป็นวีรกรรมอันยิ่ง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ใหญ่ของชาวบ้านบางระจัน จนได้รับการจารึกไว้ในประวั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ติศาสตร์ดังนี้<br /><br />ประวัติศาสตร์การรบทั้ง ๘ ครั้ง<br /><br />การรบครั้งที่ ๑ ทหารพม่าที่เมืองวิเศษชัยชา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ญยกพลมาประมาณ ๑๐๐ เศษ มาตามจับพันเรืองเมื่อถึงบ้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>านบางระจัน ก็หยุดอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำ (บางระจัน) นายแท่นจัดคนให้รักษาค่ายแล<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>้วนำคน ๒๐๐ ข้ามแม่น้ำไปรบกับพม่า ทหารพม่าไม่ทันรู้ตัวยิงปืน<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ได้เพียงนัดเดียวชาวไทยซึ่ง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>มีอาวุธสั้นทั้งนั้นก็กรูเข<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>้าไล่ฟันแทงพม่าถึงขั้นตะลุ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>มบอน พลทหารพม่าล้มตายหมดเหลือแต<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่ตัวนายสองคนขึ้นม้าหนีไปได<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>้ ไปแจ้งความให้นายทัพพม่าที่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ค่ายแขวงเมืองวิเศษชัยชาญทร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าบ และส่งข่าวให้แม่ทัพใหญ่คือ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>เนเมียวสีหบดี ซึ่งตั้งค่ายใหญ่อยู่ ณ ปากน้ำพระประสบทราบด้วย<br /><br />การรบครั้งที่ ๒ เนเมียวสีหบดีจึงแต่งให้งาจ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ุนหวุ่น คุมพล ๕๐๐ มาตีค่ายบางระจัน นายแท่นก็ยกพลออกรบ ตีทัพพม่าแตกพ่ายล้มตายเป็น<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>อันมาก แม่ทัพพม่าได้เกณฑ์ทหารเพิ่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>มเป็น ๗๐๐ คน ให้เยกินหวุ่นคุมพลยกมาตีค่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ายบางระจัน ทัพพม่าก็ถูกตีแตกพ่ายอีกเป<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>็นครั้งที่ ๒<br /><br />การรบครั้งที่ ๓ เมื่อกองทัพพม่าต้องแตกพ่าย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>หลายครั้ง เนเมียวสีหบดีเห็นว่าจะประม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าทกำลังของชาวบ้านบางระจันต<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่อไปอีกไม่ได้ จึงเกณฑ์พลเพิ่มเป็น ๙๐๐ คน ให้ติงจาโบ เป็นผู้คุมทัพครั้งนี้ชาวบ้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>านบางระจันมีชัยชนะพม่าอีกเ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ช่นครั้งก่อนๆ<br /><br />การรบครั้งที่ ๔ การที่พม่าแพ้ไทยหลายครั้งเ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ช่นนี้ ทำให้พม่าขยาดฝีมือคนไทย จึงหยุดพักรบประมาณ ๒-๓ วัน แล้วเกณฑ์ทัพใหญ่เพื่อมาตีค<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่ายบางระจัน มีกำลังพลประมาณ๑,๐๐๐ คน ทหารม้า ๖๐ สุรินจอข่องเป็นนายทัพ พม่ายกทัพมาตั้งที่บ้านห้วย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ไผ่ (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอแสว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งหา จังหวัดอ่างทอง) ฝ่ายค่ายบางระจันได้จัดเตรี<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ยมกันเป็นกระบวนทัพสู้พม่าค<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ือ นายแท่นเป็นนายทัพคุมพล ๒๐๐ พันเรืองเป็นปีกซ้ายคุมพล ๒๐๐ ชาวไทยเหล่านี้มีปืนคาบศิลา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>บ้าง ปืนของพม่าและกระสุนดินดำขอ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งพม่า ซึ่งเก็บได้จากการรบครั้งก่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>อนๆ บ้าง นอกจากนั้นก็เป็นอาวุธตามแต<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่จะหาได้ ทัพไทยทั้งสามยกไปตั้งที่คล<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>องสะตือสี่ต้น อยู่คนละฟากคลองกับพม่า ต่างฝ่ายต่างยิงตอบโต้กันฝ่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ายไทยชำนาญภูมิประเทศกว่า ได้ขนไม้และหญ้ามาถมคลอง แล้วพากันรุกข้ามรบไล่พม่าถ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ึงขั้นใช้อาวุธสั้น พม่าล้มตายเป็นอันมาก ตัวสุรินทรจอข่องนายทัพพม่า<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span> ขี่ม้ากั้นร่มระย้าเร่งให้ต<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ีกองรบอยู่กลางพล ถูกพลทหารไทยวิ่งเข้าไปฟันต<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าย ณ ที่นั้น ส่วนนายแท่นแม่ทัพไทยก็ถูกป<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ืนที่เข่าบาดเจ็บสาหัสต้องห<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ามออกมาจากที่รบ ทัพไทยกับพม่ารบกันตั้งแต่เ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ช้าจนเที่ยง ต่างฝ่ายต่างอิดโรย จึงถอยทัพจากกันอยู่คนละฟาก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>คลอง พวกชาวบ้านบางระจันในค่ายก็<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นำอาหารออกมาเลี้ยงดูพวกทหา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ร ขณะพม่าต้องหุงหาอาหารและมั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>วจัดการศพแม่ทัพไม่ทันระวัง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ตัว กองสอดแนมของไทยมาแจ้งข่าว พวกทหารไทยกินอาหารเสร็จแล้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>วก็ยกข้ามคลองเข้าโจมตีพม่า<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>พร้อมกันทันที ทหารพม่าแตกพ่ายไม่เป็นกระบ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>วน ที่ถูกอาวุธล้มตายประมาณสาม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ส่วน และเสียเครื่องอาวุธยุทธภัณ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ฑ์เป็นอันมาก ไทยไล่ติดตามจนใกล้ค่ำจึงยก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กลับมายังค่าย กิตติศัพท์ความเก่งกล้าของช<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าวบ้านบางระจันแพร่หลายออกไ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ปมีชาวบ้านอื่นๆ อพยพครอบครัวเข้ามาอาศัยอยู<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่ในค่ายบางระจันเพื่อขึ้นอี<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กเป็นลำดับ<br /><br />การรบครั้งที่ ๕ พม่าเว้นระยะไม่ยกมาตีค่ายบ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>างระจันอยู่ประมาณ ๑๐-๑๑ วัน ด้วยเกรงฝีมือชาวไทย หลังจากนั้นจึงแต่งทัพยกมาอ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ีกครั้งหนึ่ง มีแยกออกเป็นนายทัพ คุมทหารซึ่งเกณฑ์แบ่งมาจากท<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ุกค่ายเป็นคนประมาณ ๑,๐๐๐ คนเศษ พร้อมด้วยม้าและอาวุธต่างๆแ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ต่กองทัพพม่านี้ก็ปราชัยชาว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>บ้านบางระจันแตกพ่ายไป<br /><br />การรบครั้งที่ ๖ นายทัพพม่าครั้งที่ ๖ นี้คือ จิกแก ปลัดเมืองทวาย คุมพล ๑๐๐ เศษ ฝ่ายไทยมีชัยชนะอีกเช่นเคย<br /><br />การรบครั้งที่ ๗ เนเมียวสีหบดีได้แต่งกองทัพ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ให้ยกมาตีค่ายบางระจันอีก ให้อากาปันคยีเป็นแม่ทัพคุม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>พล ๑,๐๐๐ เศษ อากาปันคยียกกองทัพไปตั้ง ณ บ้านขุนโลก ทางค่ายบางระจันดำเนินกลศึก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>คือ จัดให้ขุนสรรค์ซึ่งมีฝีมือแ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ม่นปืน คุมพลทหารปืนคอยป้องกันกองท<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ัพม้าของพม่า นายจันหนวดเขี้ยวเป็นแม่ทัพ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ใหญ่คุมพล ๑,๐๐๐ เศษออกตีทัพพม่าและล้อมค่าย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ไว้ ทหารไทยใช้การรบแบบจู่โจม พม่ายังไม่ทันตั้งค่ายเสร็จ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ก็ถูกโอบตีทางหลังค่าย ทหารพม่าถูกฆ่าตายเกือบหมดเ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>หลือรอดตายเป็นส่วนน้อย แม่ทัพก็ตายในที่รบครั้งนี้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ทำให้พม่าหยุดพักรบนานถึงคร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ึ่งเดือน<br /><br />การรบครั้งที่ ๘ การที่พม่าส่งกองทัพมาปราบค<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่ายบางระจันถึง ๗ ครั้ง แต่ต้องแตกพ่ายยับเยินทุกคร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ั้งนั้น ทำให้แม่ทัพใหญ่ของพม่าวิตก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>มาก เนื่องจากชาวบ้านบางระจันมี<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กำลังเข้มแข็งขึ้นทุกที และทหารพม่าก็พากันเกรงกลัว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ฝีมือไทย ไม่มีใครอาสาเป็นนายทัพ ขณะนั้นมีชาวรามัญผู้หนึ่งเ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>คยอยู่เมืองไทยมานาน รู้จักนิสัยคนไทยและภูมิประ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>เทศดี ได้เข้าฝากตัวทำราชการอยู่ก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ับพม่าจนได้รัยตำแหน่งสุกี้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span> หรือพระนายกอง สุกี้เข้ารับอาสาจะขอไปตีค่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ายบางระจัน เนเมียวสีหบดีจึงแต่งตั้งให<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>้เป็นแม่ทัพคุมพล ๒,๐๐๐ พร้อมทั้งม้าและสรรพาวุธทั้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งปวง สุกี้ดำเนินการศึกอย่างชาญฉ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ลาด เมื่อเวลาเดินทัพไม่ตั้งทัพ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กลางแปลงอย่างทัพอื่น ให้ตั้งค่ายรายไปตามทาง ๓ ค่าย และรื้อค่ายหลังผ่อนไปสร้าง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ข้างหน้าเป็นลำดับ<br />(เป็นที่น่าสังเกตุว่าการเค<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ลื่อนทัพโดยตั้ง ๓ ค่ายของสุกี้นี้ เป็นวิธีเดียวกับการเดินทัพ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ของกองทัพเล่าปี่ ที่มีขงเบ้งเป็นแม่ทัพในสงค<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รามสามก๊ก ใช้ตั้งรับทัพที่เชี่ยวชาญก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ารรบในท้องที่นั้นๆ น่าจะแสดงให้เห็นว่าสุกี้ ชาวรามัญผู้นี้ต้องเป็นผู้เ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ชี่ยวชาญในพิชัยสงครามหรือ อย่างน้อยต้องศึกษาประวัติศ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าสตร์สงครามมาอย่างลึกซึ้ง ) ใช้เวลาถึงครึ่งเดือนจึงใกล<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>้ค่ายบางระจัน สุกี้ใข้วิธีตั้งมั่นรบอยู่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ในค่าย ด้วยรู้ว่าคนไทยเชี่ยวชาญกา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รรบกลางแปลง พวกหัวหน้าค่ายบางระจันนำกำ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ลังเข้าตีค่ายพม่าหลายครั้ง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ไม่สำเร็จกลับทำให้ไทยเสียไ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>พร่พลไปเป็นจำนวนมาก<br /><br />วันหนึ่งนายทองเหม็นดื่มสุร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าแล้วขี่กระบือนำพลส่วนหนึ่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งเข้าตีค่ายพม่า สุกี้นำพลออกรบนอกค่าย นายทองเหม็นถลำเข้าอยู่ท่าม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กลางข้าศึกแต่ผู้เดียว แม้ว่าจะมีฝีมือสามารถฆ่าฟั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นทหารพม่ารามัญล้มตายหลายคน<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>แต่ในที่สุดก็ถูกทหารพม่ารุ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>มล้อมจนสิ้นกำลังและถูกทุบต<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ีตายในที่รบ (เล่าขานกันมาว่านายทองเหม็<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นเป็นผู้รู้ในวิชาคงกระพันช<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าตรี และมีของขลังป้องกันภยันตรา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ย ฟันแทงไม่เข้า หากจะทำร้ายคนมีวิชาเช่นนี้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>จะต้องตีด้วยของแข็ง)<br />ทัพชาวบ้านบางระจันเมื่อเสี<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ยนายทัพก็แตกพ่าย ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกในกา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รรบกับพม่า ทัพพม่ายกติดตามมาจนถึงบ้าน<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ขุนโลกใกล้ค่ายบางระจัน แล้วตั้งค่ายมั่นอยู่ ทัพบางระจันพยายามตีค่ายพม่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าอีกหลายครั้งไม่สำเร็จก็ท้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>อถอย สุกี้จึงให้ทหารขุดอุโมงค์เ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ข้าใกล้ค่ายน้อยบางระจัน ปลูกหอรบขึ้นสูงนำปืนใหญ่ขึ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>้นยิงเข้าไปในค่ายถูกผู้คนล<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>้มตายเป็นอันมาก ค่ายน้อยบางระจันก็แตกพ่ายล<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งนอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ทำ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ให้ชาวบ้านบางระจันเสียกำลั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งใจลงอีกคือ นายแท่นหัวหน้าค่ายที่ถูกปื<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นที่เข่าบาดเจ็บครั้งที่สุร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ินทรจอข่องเป็นแม่ทัพยกมาเม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ื่อการรบครั้งที่ ๔ นั้นได้ถึงแก่กรรมลง ในเดือน ๖ ปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙ หัวหน้าชาวบ้านบางระจันคนอื<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่น ได้พยายามจะนำทัพไทยออกรบกั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>บพม่าอีกหลายครั้ง วันหนึ่งทัพพม่าสามารถตีโอบ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>หลังกระหนาบทัพไทยได้ ขุนสรรค์และนายจันหนวดเขี้ย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>วได้ทำการรบจนกระทั่งตัวตาย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ในที่รบ ยังเหลือแต่พันเรืองและนายท<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>องแสงใหญ่เป็นหัวหน้าสำคัญ<br /><br />ชาวค่ายบางระจันเห็นว่าตนเส<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ียเปรียบ ผู้คนล้มตายลงไปมาก เหลือกำลังที่จะต่อสู้กับพม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่าแล้ว จึงมีใบบอกเข้าไปยังกรุงศรี<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>อยุธยาขอปืนใหญ่ ๒ กระบอก พร้อมด้วยกระสุนดินดำเพื่อจ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ะนำมายิงค่ายพม่า ทางพระนครปรึกษากันแล้วเห็น<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>พร้อมกันว่าไม่ควรให้เนื่อง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>จากกลัวว่าพม่าจะแย่งชิงกลา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งทางบ้าง หรือหากพม่าตีค่ายบางระจันแ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ตก พม่าก็จะได้ปืนใหญ่นั้นมาเป<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>็นกำลังรบพระนคร พระยารัตนาธิเบศร์ไม่เห็นด้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>วยในข้อปรึกษา จึงออกไป ณ ค่ายบางระจัน เรี่ยไรเครื่องภาชนะทองเหลื<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>องทองขาวจากพวกชาวบ้านหล่อป<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ืนใหญ่ขึ้นมาสองกระบอก แต่ปืนทั้งสองนั้นร้าวใช้ไม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่ได้ พระยารัตนาธิเบศร์เห็นว่ากา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รศึกจะไม่เป็นผลสำเร็จจึงกล<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ับพระนคร<br /><br />เมื่อขาดที่พึ่งชาวบ้านบางร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ะจันก็เสียกำลังใจมากขึ้น ฝีมือการสู้รบกับพม่าก็พลอย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>อ่อนลง บางพวกก็พาครอบครัวหลบหนีออ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กจากค่าย ผู้คนในค่ายก็เบาบางลง ในที่สุดพม่าก็สามารถตีค่าย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ใหญ่บางระจันได้ ในวันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือนแปด ปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙ รวมเวลาที่ไทยรบกับพม่าตั้ง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>แต่เดือน ๔ ปลายปีระกา พ.ศ. ๒๓๐๘ ถึงเดือนแปด ปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙ เป็นเวลาทั้งสิ้น ๕ เดือน พม่าได้กวาดต้อนชาวไทยในค่า<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ยบรรดาที่รอดตายทั้งหลายกลั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>บไปยังค่ายพม่า ส่วนพระอาจารย์ธรรมโชติซึ่ง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>เป็นผู้หนึ่งที่ช่วยให้กำลั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งใจให้ชาวบ้านบางระจันสู้รบ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กับพม่าอย่างห้าวหาญนั้น ไม่ปรากฏว่าท่านมรณภาพอยู่ใ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นค่าย ถูกกวาดต้อน หรือหลบหนีไปได้<br />รายชื่อวีรชนที่ปรากฏในประว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ัติศาสตร์<br />1.พระอาจารย์ธรรมโชติ เดิมอยู่วัดเขานางบวช แล้วมาอยู่วัดโพธิ์เก้าต้น มีความรู้ ทางวิชาอาคม เป็นที่พึ่งทางใจแก่ชาวค่าย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>บางระจัน<br />2.นายแท่น เป็นชาวบ้านสีบัวทอง ถืออาวุธสั้น ถูกปืนของพม่าที่เข่าใน การรบครั้งที่ 4 เสียชีวิตเมื่อการรบครั้งสุ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ดท้าย<br />3.นายอิน เป็นชาวบ้านสีบัวทอง<br />4.นายเมือง เป็นชาวบ้านสีบัวทอง<br />5.นายโชติ เป็นชาวบ้านสีบัวทอง ถืออาวุธสั้น<br />6.นายดอก เป็นชาวบ้านกลับ<br />7.นายทองแก้ว เป็นชาวบ้านโพทะเล<br />8.นายจัน หนวดเขี้ยว เก่งทางใช้ดาบ เสียชีวิตในการรบครั้งที่ 8<br />9.นายทอง แสงใหญ่<br />10.นายทองเหม็น ขี่กระบือเข้าสู้รบกับพม่า ตกในวงล้อมถูกพม่าตีตายใน การรบครั้งที่ 8<br />11.ขุนสรรค์ มีฝีมือเข้มแข็งมักถือปืนเป<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>็นนิจ แม่นปืน<br />12.พันเรือง<br /><br />เหตุการณ์ในระยะเวลา ๕ เดือนที่ชาวบ้านบางระจันและ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ชาวบ้านใกล้เคียงกันไม่ว่าจ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ะเป็น ชาวเมืองสิงห์ เมืองสรรค์ เมืองวิเศษชัยชาญได้รวมตัวก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ันร่วมแรงร่วมใจเข้าต่อต้าน<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กองทัพพม่าที่มีกำลังมากกว่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นจำนว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นไพร่พล อาวุธยุทโธปกรณ์ ชาวบางระจันใช้ประโยชน์จากช<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ัยภูมิที่มีความชำนาญในท้อง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ที่กว่า ใช้การรบแบบกองโจร ซุ่มโจมตีกองทัพพม่า ฆ่าฟันทหารพม่าตายรวมแล้วหล<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ายพันคน เข้ารบพุ่งโรมรันโดยมิเกรงว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่าจะเสียชีวิต ทำให้พม่าครั่นคร้ามในฝีมือ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รบของชาวไทย โดยแท้ชาวบ้านบางระจันแตกพ่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ายทัพพม่าในการรบครั้งสุดท้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าย หาใช่ด้วยสติปัญญาชาวพม่าไม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่ ชาวเราแพ้ชาวรามัญที่อยู่ใน<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ไทยมานานและไปฝากตัวรับราชก<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ารในกองทัพพม่า จนได้ตำแหน่งสุกี้ วางแผนคุมกองทัพพม่ายกมาตีค<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่ายบางระจันในครั้งที่ ๘ ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ประวัต<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ิศาสตร์ ที่ ชาวสิงห์บุรี และชาวไทยทุกคนต้องภาคภูมิใ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>จ ในความกล้าหาญ และความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่ง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ใจเดียวกัน เพื่อปกป้องมาตุภูมิ จากการข่มเหงของชาวชาติอื่น<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span><br /><br />แม้ชาวบ้านบางระจันจะพ่ายแพ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>้ในที่สุด แต่ชื่อเสียงและเกียรติคุณย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ังคงอยู่แม้เวลาล่วงเลยมา ๒๐๐ กว่าปีแล้ว เรื่องราวของวีรกรรมชาวค่าย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>บางระจันยังคงอยู่เปรียบดัง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ผู้เป็นอมตะ แม้ตัวจะตายไปชื่อยังคงอยู่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span> แม้จะไม่มีชื่อวีรชนทั้งหมด<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>แต่วีรกรรมยังคงอยู่ ปรากฏอยู่ในหน้าหนึ่งของประ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>วัติศาสตร์<br /><br />แม้แต่ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>พ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไท<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ย ยังทรงพระนิพนธ์ไว้ในหนังสื<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>อไทยรบพม่า ตอนวีรชนชาวบ้านบางระจัน เป็นเรื่องเล่าจากปากผู้คนจ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ากรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่ง จากพ่อสู่ลูก เป็นนิทานก่อนนอนของปู่เล่า<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>สู่ลูกหลาน ให้เด็กๆได้จินตนาการถึงภาพ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ความกล้าหาญ ภาพชาวค่ายบางระจันรุกรบกับ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กองทัพพม่า เป็นอุทาหรณ์แก่อนุชนรุ่นหล<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ังให้ตระหนักถึงความกล้าหาญ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span> โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามัค<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>คี<br /><br />เป็นเรื่องที่พิสูจน์คำกล่า<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>วที่ว่า "สามัคคีคือพลัง" ได้อย่างแน่แท้ปราศจากข้อสง<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>สัย หากชาวค่ายบางระจันไม่สามัค<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>คีกันไม่มีทางใดเลยที่จะต้า<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>นกองทัพพม่าได้นานถึง ๕ เดือน ถ้าไม่สามัคคีกันย่อมเป็นไป<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ไม่ได้ที่จะชนะกองทัพพม่าถึ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ง ๗ ครั้งติดต่อกัน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีกองทัพใดเ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ข้าช่วยเหลือในการรบที่ค่าย<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>บางระจัน ชัยชนะที่ผ่านมาย่อมไม่ใช่เ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รื่องบังเอิญ ให้เราได้ใคร่ครวญว่าได้ทำใ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ห้หมู่คณะของเรามีความสามัค<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>คีกันบ้างไหม<br /><br />ในปัจจุบันมีการสร้างอนุสาว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รีย์วีรชนค่ายบางระจันในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ โดยกรมศิลปากรสร้างอนุสาวรี<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ย์ไว้ตรงกันข้ามวัดโพธิ์เก้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>าต้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รัชกาลปัจจุบัน ทรงเสด็จพระราชดำเนินมาในวโ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รกาสเปิดอนุสาวรีย์วีรชนค่า<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ยบางระจันเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ทรงมีพระราชดำรัสไว้จึงขออั<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ญเชิญพระราชดำรัสมาลงไว้ ณ ที่นี้<br /><br />วีรกรรมในครั้งนั้นเป็นของผ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ู้ที่รักแผ่นดินไทย เป็นสิ่งที่ทำให้คนไทยทั้งม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>วล ทั้งในอดีตและปัจจุบันมีกำล<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ังใจและเตือนสติให้มีความสา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>มัคคีและรักษาจิตใจให้เข้มแ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ข็ง เพื่อรักษาประเทศไทยให้ตนเอ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>งและเพื่อความมั่นคงของแผ่น<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ดิน.....<br /><br />ที่ฐานของอนุสาวรีย์มีคำจาร<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ึกไว้ว่า<br />"สิงห์บุรีนี่นี้ นามใด สิงห์แห่งต้นตระกูลไทย แน่แท้ ต้นตระกูล ณ กาลไหน วานบอก หน่อยเพื่อน ครั้งพม่ามาล้อมแล้ว ทั่วท้องบางระจัน "<br /><br />หลังจากพม่าตีค่ายบางระจันแ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ตกแล้วก็เคลื่อนทัพเข้าล้อม<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กรุงศรีอยุธยา และสามารถตีกรุงศรีอยุธยาแต<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>กอีกเป็นครั้งที่ ๒ ในพ.ศ. ๒๓๑๐ ไทยได้เสียกรุงศรีอยุธยาแก่<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>พม่า สมเด็จพระเจ้าเอกทัศเสด็จหน<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ีไปหลบซ่อนตัวและอดอาหารอยู<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>่ประมาณ ๑๐ วันพม่าจับตัวได้ นำไปไว้ที่ค่ายโพธิ์สามต้น และเสด็จสวรรคตที่นั่น พม่ายึดกรุงศรีอยุธยาไว้ได้<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ประมาณ ๘ เดือน<br /><br />รวมเรื่องราวที่เกิดในอดีตท<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ุกเดือนเพื่อเป็นข้อมูลแก่ผ<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>ู้สนใจศึกษา ค้นคว้า<br />โดย... พระมหาบุญโฮม ปริปุณฺณสีโล (ไชยฤทธิ์) วัดท่าไทร จ.สุราษฎร์ธานี<br />เครดิต: คนไทยสนับสนุนกองทัพไทยในกา<wbr></wbr><span class="word_break" style="display: inline-block;"></span>รปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์</span></div>
<span class="fbPhotoTagList" id="fbPhotoSnowliftTagList" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"><span class="fcg" style="color: grey;"> </span></span><br />
<div>
<span class="fbPhotoTagList" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;"><span class="fcg" style="color: grey;"><br /></span></span></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-85502959425438663372013-02-18T18:17:00.000-08:002013-02-18T18:17:12.335-08:00นักวิจัย 22 ชาติ ยกย่อง “ในหลวง” ทรงอุปถัมภ์ศึกษาบาลี ส่งผลให้ไทยใช้ถูกต้องที่สุด<br />
<div class="userContentWrapper aboveUnitContent" style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px;">
<div class="_wk mbm" style="font-size: 15px; line-height: 18px; margin-bottom: 10px;">
<span class="userContent">นักวิจัย 22 ชาติ ยกย่อง “ในหลวง” ทรงอุปถัมภ์ศึกษาบาลี ส่งผลให้ไทยใช้ถูกต้องที่สุด</span></div>
</div>
<div class="shareUnit attachmentUnit" style="background-color: white; border-left-color: rgb(192, 201, 221); border-left-style: solid; border-left-width: 2px; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 0px 0px 12px 2px; padding: 5px 0px 5px 8px;">
<div>
<div class="userContentWrapper">
<div>
<span class="userContent"><div class="text_exposed_root text_exposed" id="id_5122e025303f59d87216451" style="display: inline;">
นักวิจัยพระพุทธศาสนา 22 ชาติยกย่อง “ในหลวง” ทรงอุปถัมภ์ และสนับสนุนการศึกษาภาษาบาลี ส่งผลให้ไทยสามารถรักษาภาษาบาลีได้ถูกต้องตามพุทธพจน์มากที่สุดในโลก โดยเมื่อวันที่ 8 ม.ค. ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา มี<span class="text_exposed_show" style="display: inline;">การสัมมนาผลงาน วิจัยนานาชาติ ครั้งที่ 3 หัวข้อ "พระพุทธศาสนา : ความรู้ จริงและคุณภาพชีวิต (Buddhism : Truthful Knowledge and Quality of Life The 3 International Buddhist Research Seminar)" ซึ่งเป็นการสัมมนาระดับนานาชาติด้วยภาษาบาลีเวทีแรก ของโลก โดยมีนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญทางพระพุทธศาสนาและภาษาบาลีทั้งฝ่ายเถรวาท มหายานและวัชรยานจาก 22 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม อาทิ สหรัฐอเมริกา สหราช อาณาจักร ฝรั่งเศส ฮังการี ออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ยูกันดา อินเดีย ศรีลังกา พม่า เป็นต้น ...<br /><br /><br />ขอบคุณรูปภาพจากคุณ Sirirat Ja<br />(เพิ่มเติม) <a href="http://www.thairath.co.th/today/view/140006" rel="nofollow nofollow" style="color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: initial;" target="_blank">http://www.thairath.co.th/today/view/140006</a><br />ข่าวโดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์, 9 มกราคม 2554, 07:17 น.</span></div>
</span></div>
</div>
</div>
</div>
<div class="photoUnit clearfix belowUnitContent" style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 15px -15px 0px; overflow: hidden; position: relative; zoom: 1;">
<div class="_53s uiScaledThumb photo photoWidth1" data-cropped="1" data-gt="{"fbid":"407694755922534"}" style="float: left; overflow: hidden; position: relative;">
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=407694755922534&set=a.221647294527282.64060.219737034718308&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-ash3%2F557641_407694755922534_539518843_n.jpg&size=960%2C522&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=407694755922534&set=a.221647294527282.64060.219737034718308&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="color: #3b5998; cursor: pointer;"><div class="uiScaledImageContainer photoWrap" style="height: 403px; margin-left: 3px; overflow: hidden; position: relative; width: 403px;">
<img alt="รูปภาพ : นักวิจัยพระพุทธศาสนา 22 ชาติยกย่อง “ในหลวง” ทรงอุปถัมภ์ และสนับสนุนการศึกษาภาษาบาลี ส่งผลให้ไทยสามารถรักษาภาษาบาลีได้ถูกต้องตามพุทธพจน์มากที่สุดในโลก โดยเมื่อวันที่ 8 ม.ค. ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา มีการสัมมนาผลงาน วิจัยนานาชาติ ครั้งที่ 3 หัวข้อ "พระพุทธศาสนา : ความรู้ จริงและคุณภาพชีวิต (Buddhism : Truthful Knowledge and Quality of Life The 3 International Buddhist Research Seminar)" ซึ่งเป็นการสัมมนาระดับนานาชาติด้วยภาษาบาลีเวทีแรก ของโลก โดยมีนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญทางพระพุทธศาสนาและภาษาบาลีทั้งฝ่ายเถรวาท มหายานและวัชรยานจาก 22 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม อาทิ สหรัฐอเมริกา สหราช อาณาจักร ฝรั่งเศส ฮังการี ออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ยูกันดา อินเดีย ศรีลังกา พม่า เป็นต้น ...
ขอบคุณรูปภาพจากคุณ Sirirat Ja
(เพิ่มเติม) http://www.thairath.co.th/today/view/140006
ข่าวโดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์, 9 มกราคม 2554, 07:17 น." class="scaledImageFitWidth img" height="403" src="https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/c168.0.403.403/p403x403/557641_407694755922534_539518843_n.jpg" style="border: 0px; height: auto; min-height: 100%; position: relative; width: 403px;" width="403" /></div>
</a></div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-81791400893082645582013-02-18T18:13:00.000-08:002013-02-18T18:13:13.920-08:00 สืบ นาคะเสถียร ผู้ที่รักป่าไม้ สัตว์ป่าและธรรมชาติ ด้วยกายและใจ<br />
<div class="userContentWrapper aboveUnitContent" style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px;">
<div class="_wk mbm" style="font-size: 15px; line-height: 18px; margin-bottom: 10px;">
<span class="userContent">เช้ามืดวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2533 สืบ นาคะเสถียร ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง สืบได้สั่งเสียลูกน้องคนสนิทและเขียนจดหมายสั่งเสีย 6 ฉบับ ชำระสะสางภาระรับผิดชอบ และทรัพย์สินส่วนตัวที่คั่งค้าง...<br /><br />เสียงปืนดังขึ้นนัดหนึ่งในราวป่าลึก.. ได้จบชีวิตของเขาลง และเป็นจุดเริ่มต้นของ..<br />“ตำนานนักอนุรักษ์ไทย สืบ นาคะเสถียร ผู้ที่รักป่าไม้ สัตว์ป่าและธรรมชาติ ด้วยกายและใจ”</span></div>
</div>
<div class="shareUnit attachmentUnit" style="background-color: white; border-left-color: rgb(192, 201, 221); border-left-style: solid; border-left-width: 2px; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 0px 0px 12px 2px; padding: 5px 0px 5px 8px;">
<div class="userContentWrapper">
<span class="userContent">“ตำนานนักอนุรักษ์ไทย สืบ นาคะเสถียร ผู้ที่รักป่าไม้ สัตว์ป่าและธรรมชาติ ด้วยกายและใจ”<br /><br />>>>ตำนานของห้วยขาแข้ง<<<<br />อนุสาวรีย์สืบ นาคะเสถียร ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง ในปัจจุบันสืบ นาคะเสถียร ได้กลับเข้ามารับราชการที่กองอนุรั<span class="text_exposed_show" style="display: inline;">กษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ ในปี พ.ศ. 2531 และสืบได้พยายามเสนอให้ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และป่าห้วยขาแข้ง มีฐานะเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ จากองค์การสหประชาชาติ โดยเล็งเห็นว่าฐานะดังกล่าวจะเป็นหลักประกันสำคัญ ที่จะคุ้มครองป่าผืนนี้เอาไว้อย่างถาวร โดย ปลายปี พ.ศ. 2532 สืบได้รับทุนเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่อังกฤษ พร้อมกับได้รับมอบหมาย ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ซึ่งเป็นป่าอนุรักษ์ที่มีความสำคัญมากไม่แพ้ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ในปี พ.ศ. 2533 สืบได้จัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาป่าห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวร ได้เป็นวิทยากรบรรยาย และร่วมอภิปรายในโอกาสและสถานที่ต่าง ๆ หลายแห่ง โดยเน้นเรื่อง "การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและปัญหาที่เกี่ยวข้อง" และ "การอพยพสัตว์ป่าตกค้างในเขื่อนเชี่ยวหลาน"<br /><br /> ด้วยป่าห้วยขาแข้งเป็นผืนป่าที่อุดมไปด้วยพรรณไม้และสัตว์ป่าอันล้ำค่า ทำให้หลายฝ่ายต่างก็จ้องบุกรุกเข้ามาหาผลประโยชน์ สืบได้แสดงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะรักษาป่าผืนนี้ไว้ให้ได้อย่างชัดแจ้ง ได้ประกาศให้รู้ทั่วกันว่า "ผมมารับงานที่นี่ โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน" ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปรับงานหัวหน้าเขตฯ ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่สามารถปกป้องป่าได้ เนื่องจาก การดูแลผืนป่าขนาดมากกว่าหนึ่งล้านไร่ ด้วยงบประมาณและกำลังคนที่จำกัด รวมถึงการทุจริตของเจ้าหน้าที่ กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย และมากกว่านั้นปัญหาความยากจนของชาวบ้านที่อยู่อาศัยโดยรอบเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ทำให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลที่หวังผลประโยชน์ ได้ว่าจ้างชาวบ้านในเขตป่าสงวนเข้ามาตัดไม้ และลักลอบล่าสัตว์ในเขตป่าอนุรักษ์<br /><br />ในทรรศนะของสืบ หนทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้คือการสร้างแนวป่ากันชนขึ้นมา โดยให้ชาวบ้านอพยพออกนอกแนวกันชน และพัฒนาแนวกันชนให้เป็นป่าชุมชนที่ชาวบ้านสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับความสนใจและความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด<br /><br />>>>การเสียสละด้วยชีวิต<<<<br />บ้านพักของสืบในห้วยขาแข้งสถานที่ที่เขาเลือกที่จบชีวิตลงเช้ามืดวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2533 สืบ นาคะเสถียร ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง สืบได้สั่งเสียลูกน้องคนสนิทและเขียนจดหมายสั่งเสีย 6 ฉบับ ชำระสะสางภาระรับผิดชอบ และทรัพย์สินส่วนตัวที่คั่งค้าง รวมถึงมอบหมาย เครื่องใช้ และอุปกรณ์ในการศึกษาวิจัยด้านสัตว์ป่า ให้สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ เพื่อนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ตั้งศาลเพื่อแสดงความคารวะต่อดวงวิญญาณของเจ้าหน้าที่ ซึ่งพลีชีพรักษาป่าห้วยขาแข้ง แล้วสวดมนต์ไหว้พระจนจิตใจสงบ เสียงปืนดังขึ้นนัดหนึ่งในราวป่าลึก ที่ห้วยขาแข้ง สืบ นาคะเสถียร ได้จบชีวิตของเขาลง และเป็นจุดเริ่มต้นของ "ตำนานนักอนุรักษ์ไทย สืบ นาคะเสถียร ผู้ที่รักป่าไม้ สัตว์ป่าและธรรมชาติ ด้วยกายและใจ"<br /><br />สองอาทิตย์ต่อมา บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมป่าไม้ รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายทหาร นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นายอำเภอ ป่าไม้เขต และ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ อีกนับร้อยคน ได้เปิดประชุมเพื่อหามาตรการป้องกันการบุกรุกป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง โดย สืบ นาคะเสถียร ได้พยายามจัดตั้งการประชุมหลายสิบครั้งแต่ไม่มีการตอบรับจากเจ้าหน้านี้สักครั้งจนกระทั่งการเสียชีวิตของสืบ ทำให้มีข้อกล่าวว่า หากไม่มีเสียงปืนนัดนั้น การประชุมดังกล่าวก็คงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน<br /><br />การจากไปของ สืบ นาคะเสถียร ได้ส่งผลสะเทือนอย่างล้ำลึกต่อผู้คนที่รักธรรมชาติ และแสวงหาความเป็นธรรมในสังคม ทั้งนี้เพราะว่าในยามที่ยังมีชีวิตอยู่ สืบมิได้เป็นเพียงข้าราชการอาชีพที่มีภาระการงานเกี่ยวกับการพิทักษ์ป่า และสัตว์ป่าเท่านั้น หากเป็นผู้นำคนสำคัญของขบวนการอนุรักษ์ธรรมชาติในประเทศไทย เป็นผู้ที่เคยต่อสู้เพื่อปกปักรักษาทรัพยากรป่าไม้ และสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ โดยไม่คำนึงภัยอันตราย การจากไปของเขานับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ และเป็นความสูญเสียที่นักอนุรักษ์ธรรมชาติทุกคน ไม่อาจปล่อยให้ผ่านพ้นไป โดยปราศจากความทรงจำ </span></span></div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-58398058597327468812013-02-18T18:07:00.002-08:002013-02-18T18:07:28.661-08:00พระบรมฉายาลักษณ์เมื่อทรงงานที่สามจังหวัดชายแดนใต้ <br />
<div class="aboveUnitContent" style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 15px;">
<div class="userContentWrapper">
<div class="_wk" style="font-size: 15px; line-height: 18px;">
<span class="userContent"> พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงไม่กลัวเกรงต่ออันตรายในชายแดนใต้<br />เมื่อครั้งเสด็จไปทรงพระราชกรณ๊ยกิจสามจังหวัดชายแดนใต้ที่ในอดีตมีเหตุร้ายบ่อยครั้ง นำมาให้เป็นขวัญกำลังใจตำรวจ-ทหาร ที่รักษา<span class="text_exposed_show" style="display: inline;">ความสงบเรียบร้อยในพื้นที่นี้ครับ<br /><br /> ประมาณปี ๒๕๑๔-๒๕๑๘ ใขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีโครงการพระราชดำริเป็นโครงการแรก ช่วงที่พระองค์ท่านเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปภาคใต้ คือ โครงการพรุบาเจาะ แล้วมีโครงการอื่นตามมาอีกหลายโครงการ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เหตุการณ์ทางบ้านเรา<br /><br /> โดยเฉพาะที่นราธิวาส ยะลา ปัตตานี ค่อนข้างรุนแรง กลุ่มโจรสมัยนั้นไม่ค่อยทำร้ายเจ้าหน้าที่ แต่ทำร้ายประชาชน ถึงขั้นเคยเข้ามาจับพ่อค้าในตลาดนราธิวาสไปเรียกค่าไถ่ ไม่ให้ก็โดนฆ่า แต่พระเจ้าอยู่หัวท่านก็เสด็จฯ แปรพระราชฐานไปเยี่ยมเยียนราษฎรทุกปี พรุบาเจาะสมัยนั้นพูดได้ว่าเป็นที่ซ่อนแห่งหนึ่งของพวกโจร แต่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรเกือบทุกวัน เราก็ใจไม่ดี พระองค์ท่านเสด็จฯ ไปทรงงานในพื้นที่ที่อันตรายมาก<br /><br /> แล้วเวลาพระองค์ท่านเสด็จฯ กลับมักจะเป็นเวลาค่ำ เส้นทางที่ผ่านเป็นถนนลูกรังฝุ่นตลบ ราษฎรมาตั้งโต๊ะบูชารับท่าน ทั้งชาวไทยพุทธและไทยมุสลิม มาคอยอยู่ตั้งแต่เย็นกระทั่งค่ำ สองทุ่ม สามทุ่มพระองค์ท่านทรงโปรดให้ขบวนจอดทุกครั้ง ถนนมืดมิดไฟไม่มีเลย ต้องเอาไฟฉายส่อง<br /><br /> ชาวบ้านที่รอรับเสด็จฯ จะถวายกล้วย มะพร้าว เงาะ ทุเรียน ผลไม้ตามประเพณีของชาวปักษ์ใต้ พระองค์ท่านแวะรับทุกจุดไม่มีเว้น ผมดูแล้วหน่วยรักษาความปลอดภัยคงยากที่จะถวายอารักขา หากจะมีคนคิดไม่ดีกับพระองค์ท่าน แต่ด้วยพระบารมีโดยแท้ที่พระองค์ท่านได้ทรงตรากตรำทรงงานเพื่อความผาสุกของปวงชนชาวไทยโดยไม่เลือกศาสนาหรือเผ่าพันธุ์ จึงไม่มีราษฎรคนไหนที่จะไปคิดร้ายต่อพระองค์ท่านแน่นอน<br /><br />ข้อมูลโดย ท่านองคมนตรี สวัสดิ์ วัฒนายากร</span></span></div>
</div>
</div>
<div class="photoUnit clearfix" style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 16px; margin: 0px -15px; overflow: hidden; position: relative; zoom: 1;">
<div class="_53s uiScaledThumb photo photoWidth1" data-cropped="1" data-gt="{"fbid":"424518044254086"}" style="float: left; overflow: hidden; position: relative;">
<a ajaxify="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=424518044254086&set=a.104908256215068.4159.104803289558898&type=1&relevant_count=1&src=https%3A%2F%2Ffbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net%2Fhphotos-ak-snc7%2F309395_424518044254086_110214693_n.jpg&size=736%2C479&theater" class="_6i9" href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=424518044254086&set=a.104908256215068.4159.104803289558898&type=1&relevant_count=1" rel="theater" style="color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: initial;"><div class="uiScaledImageContainer photoWrap" style="height: 403px; margin-left: 3px; overflow: hidden; position: relative; width: 403px;">
<img alt="รูปภาพ : พระบรมฉายาลักษณ์เมื่อทรงงานที่สามจังหวัดชายแดนใต้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงไม่กลัวเกรงต่ออันตรายในชายแดนใต้
เมื่อครั้งเสด็จไปทรงพระราชกรณ๊ยกิจสามจังหวัดชายแดนใต้ที่ในอดีตมีเหตุร้ายบ่อยครั้ง นำมาให้เป็นขวัญกำลังใจตำรวจ-ทหาร ที่รักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่นี้ครับ
ประมาณปี ๒๕๑๔-๒๕๑๘ ใขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีโครงการพระราชดำริเป็นโครงการแรก ช่วงที่พระองค์ท่านเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปภาคใต้ คือ โครงการพรุบาเจาะ แล้วมีโครงการอื่นตามมาอีกหลายโครงการ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เหตุการณ์ทางบ้านเรา
โดยเฉพาะที่นราธิวาส ยะลา ปัตตานี ค่อนข้างรุนแรง กลุ่มโจรสมัยนั้นไม่ค่อยทำร้ายเจ้าหน้าที่ แต่ทำร้ายประชาชน ถึงขั้นเคยเข้ามาจับพ่อค้าในตลาดนราธิวาสไปเรียกค่าไถ่ ไม่ให้ก็โดนฆ่า แต่พระเจ้าอยู่หัวท่านก็เสด็จฯ แปรพระราชฐานไปเยี่ยมเยียนราษฎรทุกปี พรุบาเจาะสมัยนั้นพูดได้ว่าเป็นที่ซ่อนแห่งหนึ่งของพวกโจร แต่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรเกือบทุกวัน เราก็ใจไม่ดี พระองค์ท่านเสด็จฯ ไปทรงงานในพื้นที่ที่อันตรายมาก
แล้วเวลาพระองค์ท่านเสด็จฯ กลับมักจะเป็นเวลาค่ำ เส้นทางที่ผ่านเป็นถนนลูกรังฝุ่นตลบ ราษฎรมาตั้งโต๊ะบูชารับท่าน ทั้งชาวไทยพุทธและไทยมุสลิม มาคอยอยู่ตั้งแต่เย็นกระทั่งค่ำ สองทุ่ม สามทุ่มพระองค์ท่านทรงโปรดให้ขบวนจอดทุกครั้ง ถนนมืดมิดไฟไม่มีเลย ต้องเอาไฟฉายส่อง
ชาวบ้านที่รอรับเสด็จฯ จะถวายกล้วย มะพร้าว เงาะ ทุเรียน ผลไม้ตามประเพณีของชาวปักษ์ใต้ พระองค์ท่านแวะรับทุกจุดไม่มีเว้น ผมดูแล้วหน่วยรักษาความปลอดภัยคงยากที่จะถวายอารักขา หากจะมีคนคิดไม่ดีกับพระองค์ท่าน แต่ด้วยพระบารมีโดยแท้ที่พระองค์ท่านได้ทรงตรากตรำทรงงานเพื่อความผาสุกของปวงชนชาวไทยโดยไม่เลือกศาสนาหรือเผ่าพันธุ์ จึงไม่มีราษฎรคนไหนที่จะไปคิดร้ายต่อพระองค์ท่านแน่นอน
ข้อมูลโดย ท่านองคมนตรี สวัสดิ์ วัฒนายากร" class="scaledImageFitWidth img" height="403" src="https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc7/c145.0.403.403/p403x403/309395_424518044254086_110214693_n.jpg" style="border: 0px; height: auto; min-height: 100%; position: relative; width: 403px;" width="403" /></div>
</a></div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-78224733888331945892013-02-18T17:49:00.004-08:002013-02-18T17:49:38.245-08:00เทคโนโลยี 3G คืออะไร<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; width: 100%px;"><tbody>
<tr><td align="center" style="font-size: 12px;"><h1>
</h1>
</td></tr>
<tr><td style="font-size: 12px;"><div align="left">
<span style="color: black; font-family: Tahoma; font-size: x-small;"><strong> 3G คือ</strong> โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่สาม หรือมาตรฐาน IMT-2000 นั้นนิยามสั้นๆ เพื่อให้เข้าใจตรงกันว่า<ul>
<li>“ต้องมี แพลทฟอร์ม (Platform) สำหรับการหลอมรวมของบริการต่างๆ อาทิ กิจการประจำที่ (Fixed Service) กิจการเคลื่อนที่ (Mobile Service) บริการสื่อสารเสียง ข้อมูล อินเทอร์เน็ต และ พหุสื่อ (Multimedia) เป็นไปในทิศทางเดียวกัน” คือ สามารถถ่ายเท ส่งต่อข้อมูล ดิจิตอล ไปยังอุปกรณ์โทรคมนาคมประเภทต่างๆ ให้สามารถรับส่งข้อมูลได้</li>
<li>“ความสามารถในการใช้โครงข่ายทั่วโลก (Global Roaming) ” คือ ผู้บริโภคสามารถ ถืออุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ไปใช้ได้ทั่วโลก โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่อง</li>
<li>“บริการที่ไม่ขาดตอน (Seamless Delivery Service) ” คือ การใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยน เซลล์ไซต์ (Cell Site) เขาใช้คำว่า Seam less นั้นแปลว่า ไร้รอยตะเข็บนะครับ</li>
<li>อัตราความเร็วในการส่งข้อมูล (Transmission Rate) ในมาตรฐาน IMT-2000 นั้นกำหนดไว้ว่าต้องมีอัตราความเร็วดังนี้ <sup><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_3#cite_note-0" style="background-image: none; color: black; font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">[</a></sup></li>
<li><sup><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_3#cite_note-0" style="background-image: none; color: black; font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;"></a></sup><ul>
<li><br /></li>
<li>ในสภาวะอยู่กับที่หรือขณะเดิน มีความเร็วอย่างน้อยที่สุด 2 เมกะบิต/วินาที</li>
<li>ในสภาวะเคลื่อนที่โดยยานพาหนะ มีความเร็วอย่างน้อยที่สุด 384 กิโลบิต/วินาที</li>
<li>ทุกสภาวะ มีความเร็วอย่างมากที่สุด 14.4 เมกะบิต/วินาที</li>
</ul>
</li>
</ul>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
<strong>จุดเริ่มต้นของเทคโนโลยี 3G</strong></div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 (Third Generation Mobile Network หรือ 3G) เป็นเทคโนโลยียุคถัดมาจากการเปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 2 หรือ 2G ซึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างมูลค่าทางธุรกิจสื่อสารไร้สายอย่างมหาศาลนับ ตั้งแต่ พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา ในยุคของโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G มีมาตรฐานที่สำคัญที่มีการนิยมใช้งานทั่วโลกอยู่ 2 มาตรฐาน กล่าวคือมาตรฐาน GSM (Global System for Mobile Communication) อันเป็นมาตรฐานของกลุ่มสหภาพยุโรป ปัจจุบันมีส่วนแบ่งทางการตลาดทั่วโลกสูงที่สุด และมาตรฐาน CDMA (Code Division Multiple Access) อันเป็นมาตรฐานจากสหรัฐอเมริกา มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่สอง</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
จุดมุ่งหมายของการพัฒนามาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ขึ้น ก็เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานระบบสื่อสารไร้สายส่วนบุคคล (Personal Communication) ในลักษณะไร้พรมแดน (Global Communication) โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้บริการสามารถนำเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปใช้ งานในที่ใด ๆ ก็ได้ทั่วโลกที่มีการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าว และยังเป็นยุคของการนำมาตรฐานสื่อสารแบบดิจิตอลสมบูรณ์แบบมาใช้รักษาความ ปลอดภัย และเสริมประสิทธิภาพในการสื่อสารหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบริการส่งข้อความแบบสั้น (Short Message Service หรือ SMS) และการเริ่มต้นของยุคสื่อสารข้อมูลผ่านเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นครั้งแรก โดยมาตรฐาน GSM และ CDMA ตอบสนองความต้องการสื่อสารข้อมูลด้วยอัตราเร็วสูงสุด 9,600 บิตต่อวินาที ซึ่งถือว่าเพียงพอเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราเร็วของการสื่อสารผ่านโมเด็มใน เครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐานเมื่อกว่าสิบปีก่อน</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
การตอบรับของกลุ่มผู้บริโภคบริการสื่อสารไร้สายทั่วโลก ทำให้มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการณ์ทั่วโลกอย่างมหาศาล ก่อให้เกิดการเปิดสัมปทานและนำมาซึ่งการแข่งขันอย่างรุนแรงในแทบทุกประเทศ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนอกจากจะมีผลทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนของผู้ใช้บริการอย่าง ก้าวกระโดดแล้ว ในขณะเดียวกันยังสร้างผลกระทบต่อรายได้โดยเฉลี่ยต่อเลขหมาย (Average Revenue per User หรือ ARPU) ของผู้ให้บริการเครือข่าย อันเนื่องมาจากการกลยุทธ์การแข่งขันด้านราคา ยิ่งเมื่อมีการเปิดตัวบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพร้อมใช้ (Prepaid Subscriber) ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา ก็ทำให้เกิดการลดถอยของ ARPU ลงอย่างต่อเนื่อง พร้อม กับปัญหาผู้ใช้บริการย้ายค่าย (Brand Switching) ที่รุนแรงขึ้น</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตราสินค้าและยังเป็นการสร้างรายได้ เพิ่มเพื่อชดเชย ARPU ที่ลดต่ำลง เนื่องจากปรากฏการณ์อิ่มตัวของบริการสื่อสารด้วยเสียง (Voice Service) ผู้ประกอบการในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกจึงมีความเห็นตรงกันที่จะ สร้างบริการสื่อสารไร้สายรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้น โดยพัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ที่เปิดใช้งานอยู่ ให้มีศักยภาพเพิ่มเติมเพื่อรองรับบริการสื่อสารข้อมูลแบบที่มิใช่เสียง (Non-Voice Communication) พร้อมกับการวางแผนธุรกิจ แผนปฏิบัติการทางวิศวกรรม การตลาด และแผนการลงทุน เพื่อสร้างกระแสความต้องการ (Demand Aggregation) ให้กับฐานลูกค้าผู้ใช้บริการที่มีอยู่เดิม เพื่อเพิ่ม ARPU ให้สูงขึ้น พร้อม ๆ กับผลักดันให้เกิดบริการรูปแบบใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับส่งข้อมูลแบบ EMS (Enhanced Messaging Service) หรือ MMS (Multimedia Messaging Service) รวมถึงบริการท่องโลกอินเทอร์เน็ตไร้สายผ่านอุปกรณ์สื่อสารรุ่นใหม่ ๆ ซึ่งมีทั้งที่เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่ว ๆ ไป อุปกรณ์ไร้สายประเภท PDA (Personal Digital Assistant) และโทรศัพท์เคลื่อนที่อัจฉริยะ (Smart Phone)</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
เพื่อเป็นการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ที่ได้มีการลงทุนไว้แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด มาตรฐานเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลในรูปแบบใหม่ ๆ จึงถูกกำหนดขึ้น ภายใต้แนวคิดในการพัฒนาเครือข่ายเดิม ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี HSCSD (High Speed Circuit Switching Data), GPRS (General Packet Radio Service) หรือ EDGE (Enhanced Data Rate for GPRS Evolution) ของค่าย GSM และเทคโนโลยี cdma20001xEV-DV หรือ cdma20001xEV-DO ของค่าย CDMA ดังแสดงพัฒนาการในรูปที่ 1 เรียกมาตรฐานต่อยอดดังกล่าวโดยรวมว่า เทคโนโลยียุค 2.5G/2.75G ซึ่งในช่วงเวลานี้เองที่ปรากฏมีมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ PDC (Packet Digital Cellular) เปิดให้บริการสื่อสารข้อมูลในลักษณะของเทคโนโลยี 2.5G ภายใต้ชื่อเครื่องหมายการค้า i-mode ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในการเปิดศักราชของการให้บริการสื่อสารข้อมูล แบบมัลติมีเดียไร้สายในประเทศญี่ปุ่น และได้กลายเป็นต้นแบบของการจัดทำธุรกิจ Non-Voice ให้กับผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกในเวลาต่อมา</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
<b>การเติบโตของธุรกิจ Non-Voice</b></div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 เป็นต้นมาอันเป็นยุคเริ่มต้นของเทคโนโลยี 2.5G ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย มีการผลักดันบริการสื่อสารข้อมูลรูปแบบใหม่ ๆ ในรูปแบบ Non-Voice เพื่อสร้างกระแสนิยมในกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย 2.5G อย่างเต็มรูปแบบ หรือเป็นการผลักดันให้เกิดการยอมรับในบริการที่มีอยู่แล้ว อันได้แก่บริการ SMS ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นว่าบริการเหล่านี้ได้กลายเป็นช่องทางสำคัญที่เพิ่ม มูลค่าให้บริการ ARPU ของบรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ รูปที่ 2 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของบริการประเภทต่าง ๆ บนเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในภาพรวมของทั้งทวีปเอเชียตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2544 จนถึง พ.ศ. 2553 ซึ่งในท้ายที่สุดบริการแบบ Non-Voice จะมีสัดส่วนที่เป็นนัยสำคัญต่อรายได้รวมทั้งหมด</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
สำหรับธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยเอง นับตั้งแต่การเปิดให้บริการประเภท Non-Voice อย่างจริงจังเมื่อต้นปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา บรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็สามารถสร้างรายได้เพื่อ เสริมทดแทนการลดทอนของค่า ARPU ภายในเครือข่ายของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเปิดตัวบริการสื่อสารไร้สายมัลติมีเดียของ บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด (HUTCH) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2546 เป็นต้นมา สภาพการแข่งขันในธุรกิจสื่อสารไร้สายในประเทศไทยก็เริ่มมุ่งความสำคัญในการ สร้างบริการ Non-Voice ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้บริการ MMS อย่างเป็นทางการ การคิดโปรโมชั่นกระตุ้นการท่องอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือแม้กระทั่งการทดลองเปิดให้บริการชมภาพยนตร์ผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ (TV on Mobile) ซึ่งความพยายามของผู้ให้บริการเครือข่ายแต่ละราย ทำให้เกิดกระแสความสนใจใช้บริการ Non-Voice เพิ่มมากขึ้น</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
รูปที่ 3 และ 4 แสดงถึงความสำคัญของรายได้ที่เกิดขึ้นจากบริการ Non-Voice นับตั้งแต่ช่วงต้นปี พ.ศ. 2546 เป็นต้นมา อันมีผลทำให้บรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถเพิ่มค่า ARPU ของตนให้มีแนวโน้มสูงขึ้น พร้อม ๆ กับการเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการภายในเครือข่ายของตน ซึ่งแตกต่างจากสภาพการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้ที่รายได้เฉลี่ยของตนตกลงเรื่อย ๆ สวนทางกับการเพิ่มจำนวนของกลุ่มผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงกลุ่มผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมใช้ ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ของประเทศ มีการเพิ่มค่า ARPU ขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ส่วนหนึ่งจะมาจากนโยบายการตลาดของผู้ให้บริการที่มีการจำกัดเวลาในการโทร ให้สัมพันธ์กับวงเงินก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ความนิยมในบริการ Non-Voice ประเภท SMS และ EMS โดยเฉพาะที่อยู่ในรูปแบบของบริการดาวน์โหลดรูปภาพ (Logo/Animation) และเสียงเรียกเข้า (Ringtone) ในกลุ่มวัยรุ่นและนักศึกษามีผลอย่างเป็นนัยสำคัญต่อการเพิ่มค่า ARPU ดังกล่าว</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
<strong>ข้อจำกัดของเครือข่าย 2.5G และ 2.75G</strong></div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2.5G หรือ 2.75G แม้จะสามารถรองรับการสื่อสารประเภท Non-Voice ได้ แต่ก็ไม่อาจสร้างบริการประเภท Killer Application ที่ผลิกผันรูปแบบการให้บริการได้อย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้จากสถาการณ์การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทย ที่แม้จะมีการเติบโตอย่างชัดเจนในตลาดประเภท Non-Voice แต่เมื่อศึกษาอย่างละเอียดก็จะพบว่าบริการที่ประสบความสำเร็จเกือบทั้งหมด ล้วนเป็นบริการประเภท SMS และ EMS ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการดาวน์โหลดรูปภาพหรือเสียงเรียกเข้า รวมถึงการเล่นเกมส์ตอบปัญหาหรือส่งผลโหวตที่ปรากฏอยู่ตามสื่อชนิดต่าง ๆ ซึ่งบริการเหล่านี้ล้วนเป็นบริการพื้นฐานในเครือข่าย 2G</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
ข้อจำกัดของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อน 2.5G และ 2.75G เกิดขึ้นมาจากความพยายามพัฒนาเครือข่าย 2G เดิม ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐาน GSM หรือ CDMA ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุ้มค่าการลงทุน ทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายไม่อาจบริหารจัดการทรัพยากรเครือข่ายโทรศัพท์ เคลื่อนที่ได้อย่างคล่องตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM ไม่ว่าจะเป็นย่านความถี่ 900 เมกะเฮิตรซ์ , 1800 เมกะเฮิตรซ์ หรือ 1900 เมกะเฮิตรซ์ เนื่องจากอุปกรณ์ที่มีการติดตั้งใช้งานมาตั้งแต่การเปิดให้บริการในยุค 2G ล้วนเป็นเทคโนโลยีเก่า มีการทำงานแบบ Time Division Multiple Access (TDMA) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่า ต้องจัดสรรวงจรให้กับผู้ใช้งานตายตัว ไม่สามารถนำทรัพยากรเครือข่ายมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีดังกล่าวเหมาะสำหรับการสื่อสารข้อมูลแบบ Voice ซึ่งต้องการคุณภาพและความคมชัดในการสนทนา</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
แม้เมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยี GPRS และ EDGE ซึ่งถือเป็นการเสริมเทคโนโลยีสื่อสารข้อมูลแบบแพ็กเกตสวิตชิ่ง (Packet Switching) ที่มีความยืดหยุ่นในการสื่อสารข้อมูลแบบ Non-Voice ในลักษณะเดียวกับที่พบในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็ตาม แต่เทคโนโลยีทั้ง 2 ประเภทนี้ก็ถือว่าเป็นการ ต่อยอด บนเครือข่ายแบบเดิมที่มีการทำงานแบบ TDMA ทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายต้องพะวงกับการจัดสรรทรัพยากรช่องสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการจัดสรรวงจรสื่อสารผ่านคลื่นความถี่วิทยุจากสถานีฐาน ไปยังเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทำให้ไม่สามารถเปิดให้บริการแบบ Non-Voice ได้อย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากจะทำให้เกิดผลรบกวนต่อจำนวนวงจรสื่อสารแบบ Voice มากจนเกินไป</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงพบว่าไม่มีผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2.5G หรือ 2.75G รายใดในโลก สามารถเปิดให้บริการเทคโนโลยี GPRS ด้วยอัตราเร็วสูงสุด 171 กิโลบิตต่อวินาที หรือ EDGE ด้วยอัตราเร็ว 384 กิโลบิตต่อวินาทีได้ เนื่องจากการทำเช่นนั้นจะทำให้สถานีฐาน (Base Station) ที่ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณกับเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไม่มีวงจรสื่อสารเหลือสำหรับให้บริการแบบ Voice อีกต่อไป ผลที่เกิดขึ้นในมุมมองของผู้ใช้บริการก็คือความเชื่องช้าในการสื่อสารข้อมูล ผ่านเครือข่าย 2.5G และ 2.75G ทำให้หมดความสนใจที่จะใช้บริการต่อไป โดยในขณะเดียวกันก็มีบริการสื่อสารอัตราเร็วสูงแบบบรอดแบนด์ผ่านคู่สาย เช่น DSL (Digital Subscriber Line) เป็นทางเลือกสำหรับใช้บริการ ความสนใจที่จะใช้เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อรับส่งข้อมูลจึงมีอยู่ เฉพาะการเล่นเกมส์และส่ง SMS, MMS ซึ่งทำได้ง่าย และมีการประชาสัมพันธ์ดึงดูดใจมากมาย</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
<strong>มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G</strong></div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
เพื่อเป็นการเพิ่มความคล่องตัวในการเปิดให้บริการ Non-Voice อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งยังคงรักษาคุณภาพในการให้บริการ Voice ด้วยระดับคุณภาพที่ทัดเทียมหรือดีกว่าในยุค 2G องค์กรสากล 3GPP (Third Generation Program Partnership) และ 3GPP2 จึงได้กำหนดมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ขึ้น โดยมีมาตรฐานสำคัญอยู่ 2 ประเภท คือ</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
มาตรฐาน UMTS (Universal Mobile Telecommunications Services) เป็นมาตรฐานที่ออกแบบมาสำหรับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้นำ ไปพัฒนาจากยุค 2G/2.5G/2.75G ไปสู่มาตรฐานยุค 3G อย่างเต็มตัว รับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานโดยองค์กร 3GPP มีเทคโนโลยีหลักที่ปัจจุบันมีการยอมรับใช้งานทั่วโลกคือมาตรฐาน Wideband Code Division Multiple Access (W-CDMA) โดยในอนาคตจะมีการพัฒนาต่อเนื่องไปสู่มาตรฐาน HSDPA (High Speed Downlink Packet Access) ซึ่งรองรับการสื่อสารด้วยอัตราเร็วสูงถึง 14 เมกะบิตต่อวินาที หรือเร็วกว่าการสื่อสารแบบ 2.75G ถึง 36 เท่า มาตรฐาน W-CDMA นี้เองที่กิจการร่วมค้า ไทย - โมบาย กำลังจะดำเนินการพัฒนาเพื่อเปิดให้บริการภายในต้นปี พ.ศ. 2548 นอกจากจะเป็นเส้นทางในการพัฒนาสู่มาตรฐาน 3G ของบรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM แล้ว มาตรฐาน W-CDMA ยังได้รับการยอมรับจากผู้ให้บริการรายใหญ่อย่างบริษัท NTT DoCoMo ผู้เปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ I-mode ซึ่งใช้เทคโนโลยี PDC ให้เป็นมาตรฐาน 3G สำหรับใช้งานภายใต้เครื่องหมายการค่า “FOMA” โดยได้เปิดให้บริการในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา และปัจจุบัน W-CDMA ได้กลายเป็นเครือข่าย 3G ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มาตรฐาน cdma2000 เป็นการพัฒนาเครือข่าย CDMA ให้รองรับการสื่อสารในยุค 3G รับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานโดยองค์กร 3GPP2 มีเทคโนโลยีหลักคือ cdma2000-3xRTT ที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับมาตรฐาน W-CDMA ของค่ายยุโรป แต่ปัจจุบันยังไม่มีกำหนดความพร้อมสำหรับให้บริการเชิงพาณิชย์ที่ชัดเจน สำหรับในประเทศไทย บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด เปิดให้บริการเฉพาะเครือข่าย cdma20001xEV-DO ซึ่งยังมีขีดความสามารถเทียบเท่าเครือข่าย 2.75G เท่านั้น</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ W-CDMA ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้รองรับการสื่อสารแบบมัลติมีเดียสมบูรณ์แบบ โดยเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสื่อสารชนิด TDMA ที่ปรากฏอยู่ในเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 2G/2.5G/2.75G ไปเป็นการสื่อสารแบบแพ็กเกตสวิทชิ่งเต็มรูปแบบ สามารถรองรับทั้งการสื่อสารทั้ง Voice และ Non-Voice โดยมีมาตรฐานการรองรับและควบคุมคุณภาพของข้อมูลที่สมบูรณ์แบบ อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูล (Information Coding) จึงทำให้ผู้ให้บริการเครือข่าย 3G ก้าวพ้นจากข้อจำกัดในการบริหารจัดการข้อมูลประเภท Voice และ Non-Voice ดังที่ปรากฏอยู่ในมาตรฐาน 2G/2.5G/2.75G ได้อย่างเด็ดขาด</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
อย่างไรก็ตามเพื่อให้เครือข่าย W-CDMA สามารถรองรับการสื่อสารข้อมูลได้อย่างเต็มรูปแบบ และให้เกิดความคล่องตัวในการจัดสรรทรัพยากรความถี่วิทยุ จึงจำเป็นต้องมีการกำหนดย่านความถี่สำหรับใช้เปิดให้บริการ โดยเป็นไปตามแผนผังการจัดวางความถี่สากลทั่วโลกดังแสดงในรูปที่ 5 ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้ กิจการร่วมค้าไทย - โมบาย เป็นเพียงผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายเดียวในประเทศไทยที่สามารถเปิด ให้บริการเครือข่าย 3G แบบ W-CDMA ได้ในทันที เนื่องจากมีสิทธิ์ใช้คลื่นความถี่วิทยุในย่าน 1965 – 1980 เมกะเฮิตรซ์ และ 2155 – 2170 เมกะเฮิตรซ์ ขณะที่ผู้ให้บริการเครือข่ายรายอื่น ๆ จำเป็นต้องยื่นคำร้องผ่านกระบวนการจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุโดยคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีเพื่อได้สิทธิ์ในการเปิดให้บริการ W-CDMA เป็นรายต่อไป</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
<strong>จุดเด่นของมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA</strong></div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
นอกจากมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีสถานีฐาน (Base Station Subsystem) จากยุค 2G ซึ่งใช้เทคโนโลยี TDMA เป็นการรับส่งข้อมูลในรูปแบบแพ็กเกตเพื่อความคล่องตัวในการจัดสรรทรัพยากร ความถี่สำหรับให้บริการทั้งแบบ Voice และ Non-Voice อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด อันจะช่วยสร้างความรู้สึกให้กับผู้ใช้บริการ (End User Perception) ถึงความรวดเร็วในการสื่อสารข้อมูล และยังคงรักษาคุณภาพของการสนทนาที่เหนือกว่ามาตรฐาน 2G/2.5G/2.75G แล้ว มาตรฐาน W-CDMA ยังมีความคล่องตัวในการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายข้อมูลที่อยู่ในโลกอิน เทอร์เน็ต เนื่องจากมาตรฐานการเชื่อมต่อต่าง ๆ สอดรับกับมาตรฐานของอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตทุกประการ ก่อให้เกิดการเปิดกว้างในรูปแบบของความร่วมมือกับพันธมิตรจำนวนมาก มีความคล่องตัวในการบันทึก จัดเก็บ และบริหารจัดการข้อมูลประเภทสื่อข้อมูล (Content) ต่าง ๆ</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
เมื่อทำการเปรียบเทียบเฉพาะด้านของอัตราเร็วในการสื่อสารข้อมูลดังแสดงใน รูปที่ 6 จะเห็นว่ามาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G นอกจากจะรองรับการสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็วกว่ามาตรฐาน 2G/2.5G/2.75G แล้ว ยังก่อให้เกิดการถือกำเนิดของบริการรูปแบบใหม่ ๆ ที่ไม่สามารถสร้างขึ้นบนเครือข่ายยุคในตระกูล 2G/2.5G/2.75G ได้ ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือบริการ Video Telephony และ Video Conference ซึ่งเป็นการสื่อสารแบบเห็นหน้ากัน โดยเครือข่าย 3G จะทำการถ่ายทอดสดทั้งภาพและเสียงระหว่างคู่สนทนา โดยไม่เกิดความหน่วงหรือล่าช้าของข้อมูล บริการในลักษณะนี้จะกลายเป็น จุดขาย สำคัญประการหนึ่งของมาตรฐานการสื่อสารแบบ 3G ทั้งนี้เครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน ล้วนรองรับบริการ Video Telephony แล้วทั้งสิ้น จึงสามารถเปิดให้บริการดังกล่าวได้ในทันที</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
ข้อมูลจาก UMTS Forum ในรูปที่ 7 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA เปรียบเทียบกับมาตรฐาน GSM โดยพิจารณาอัตราการเติบโตภายในช่วง 10 ไตรมาสแรก (2 ปีครึ่ง) หลังจากการเปิดให้บริการ GSM ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2535 เทียบกับ 10 ไตรมาสแรกหลังจากการเปิดให้บริการ W-CDMA ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2544 พบว่าเครือข่าย 3G แบบ W-CDMA มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่ามาก มูลเหตุสำคัญมาจากแรงผลักดัน (Business Momentum) ที่ผู้ใช้บริการ 2.5G หรือ 2.75G รอคอยเครือข่ายสื่อสารไร้สายที่สามารถตอบสนองความต้องการในการสื่อสารข้อมูล ด้วยอัตราเร็วสูงอย่างแท้จริง อีกทั้งผู้ให้บริการเครือข่ายยังมีความคล่องตัวในการจัดสรรเครือข่ายในด้าน ต่าง ๆ เพื่อสร้างบริการสื่อสารประเภท Non-Voice ที่ต้องพึ่งพาอัตราเร็วในการสื่อสารข้อมูลที่สูงขึ้น นอกเหนือจากบริการ Non-Voice พื้นฐานอย่าง SMS และ EMS</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
กล่าวโดยสรุป ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้มาตรฐานเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA มีแนวโน้มของการประสบความสำเร็จทางธุรกิจที่รวดเร็วกว่ามาตรฐาน 2G จนถึง 2.75G นั้น สืบเนื่องมาจากการปฏิวัติรูปแบบของเทคโนโลยีเครือข่าย เพื่อตอบสนองรูปแบบการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจให้ผลักดันบริการ Non-Voice อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ UMTS Forum ได้กล่าวถึงจุดเด่นของมาตรฐาน W-CDMA ซึ่งจะนำความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจให้กับผู้ประกอบการดังนี้ (เอกสาร Why the world has chosen W-CDMA : 24 September 2003)</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
1. เครือข่าย W-CDMA รับประกันคุณภาพในการรองรับข้อมูลแบบ Voice และ Non-Voice ในแง่ของผู้ใช้บริการจะรับรู้ได้ว่าคุณภาพเสียงจากการใช้งานเครือข่าย 3G ชัดเจนกว่าหรืออย่างน้อยเทียบเท่าการสนทนาผ่านเครือข่าย 2G ส่วนการรับส่งข้อมูลแบบ Non-Voice จะรับรู้ถึงอัตราเร็วในการสื่อสารที่สูงกว่าการใช้งานผ่านเครือข่าย 2.5G และ 2.75G มาก อันเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีเครือข่าย และใช้ย่านความถี่ที่สูงขึ้น</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
2. W-CDMA เป็นมาตรฐานเปิด (Open Standard) ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยกลุ่ม 3GPP ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับผู้พัฒนามาตรฐาน GSM ทำให้ผู้ให้บริการ 3G สามารถเชื่อมต่อเครือข่าย 3G เข้าหากันได้ถึงขั้นอนุญาตให้มีการใช้งานข้ามเครือข่าย (Roaming) เช่นเดียวกับที่เป็นอยู่ในเครือข่ายยุค 2G นอกจากนั้นยังสามารถเชื่อมต่อเพื่อการใช้งานข้ามเครือข่ายกับมาตรฐาน 2G/2.5G/2.75G ได้ในทันที โดยผู้ใช้บริการเพียงมีอุปกรณ์สื่อสารแบบ Dual Mode เท่านั้น ทำให้เกิดลู่ทางในการสร้างเครือข่าย W-CDMA เพื่อเปิดให้ผู้ประกอบการเครือข่ายรายอื่นได้ร่วมเข้าใช้บริการ ในลักษณะของ Mobile Virtual Network Operator (MVNO) เป็นรายได้ที่สำคัญนอกเหนือจากการให้บริการ 3G กับผู้ใช้บริการที่จดทะเบียนภายในเครือข่าย</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
3. มาตรฐาน W-CDMA เป็นมาตรฐานโลก ที่จะเข้ามาแทนที่เครือข่ายในตระกูล GSM เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เครือข่าย GSM เข้ามาแทนที่เครือข่าย 1G เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว จึงเป็นการรับประกันถึงพัฒนาการที่มีอย่างต่อเนื่องในด้านต่าง ๆ การเร่งเปิดให้บริการ 3G จึงเปรียบได้กับการเร่งเข้าสู่ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันที่เกิดขึ้น ในอดีต</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
4. พิจารณาเฉพาะการให้บริการแบบ Voice จะเห็นว่าการลงทุนสร้างเครือข่าย W-CDMA มีต้นทุนที่ต่ำกว่าการสร้างเครือข่าย GSM ถึงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากมาตรฐาน W-CDMA มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวให้ผู้ประกอบสามารถปรับเปลี่ยนทรัพยากรความถี่ เพื่อรองรับ Voice และ Non-Voice ได้อย่างผสมผสาน ต่างจากการกำหนดทรัพยากรตายตัวในกรณีของเทคโนโลยี GSM</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
5. W-CDMA เป็นมาตรฐานสื่อสารไร้สายชนิดเดียวที่มีรูปแบบการทำงานแบบแถบความถี่กว้าง (Wideband) อันนำมาซึ่งประสิทธิภาพในการสร้างพื้นที่ให้บริการที่กว้างใหญ่ ไปพร้อม ๆ กับความสะดวกในการเพิ่มขยายขีดความสามารถในการรองรับข้อมูลข่าวสาร ต่างจากเครือข่าย 2G โดยทั่วไปที่ปัจจุบันเริ่มประสบกับปัญหาการจัดสรรความถี่ที่ไม่เพียงพอต่อ การขยายเครือข่าย เนื่องจากเป็นระบบแบบแถบความถี่แคบ (Narrow Band)</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
6. กลไกการทำงานภายในเครือข่าย W-CDMA เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะมาตรฐาน IETF (Internet Engineering Task Force) ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเปิดโอกาสให้พันธมิตรทางธุรกิจซึ่งมีความเชี่ยวชาญ ในการพัฒนาโปรแกรมหรือบริการพิเศษต่าง ๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้ทำการพัฒนาสร้างบริการผ่านอุปกรณ์สื่อสารไร้สาย โดยใช้ทักษะความสามารถและความชำนาญที่มีอยู่ เป็นการกระตุ้นให้เกิดบริการประเภท Non-Voice ได้สารพัดรูปแบบ</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
7. มีแนวทางในการพัฒนาขีดความสามารถในรองรับการสื่อสารข้อมูลที่มีอัตราเร็วสูง ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสู่มาตรฐาน HSDPA ที่รองรับการสื่อสารข้อมูลด้วยอัตราเร็วที่สูงมากถึง 14 เมกะบิตต่อวินาที ในขณะที่มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM ไม่สามารถพัฒนาให้รองรับการสื่อสารข้อมูลได้มากกว่าเทคโนโลยี EDGE ในปัจจุบัน ซึ่งรองรับข้อมูลได้ด้วยอัตราเร็ว 384 กิโลบิตต่อวินาที และในความเป็นจริงก็ไม่สามารถเปิดให้บริการด้วยอัตราเร็วถึงระดับดังกล่าว ได้ เนื่องจากจะทำให้สถานีไม่สามารถรองรับบริการ Voice ได้อีกต่อไป</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
8. ในอนาคตมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G มีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจนในการรวมตัวกับมาตรฐานสื่อสารไร้สายชนิดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐาน Wireless LAN (IEEE802.11b/g) หรือ WiMAX (IEEE802.16d/e/e+) ทำให้ผู้ใช้บริการเครือข่ายไร้สายสามารถเคลื่อนย้ายไปใช้งานในเครือข่ายใด ๆ ก็ได้ตามความเหมาะสมทางภูมิประเทศ โดยยังคงได้รับการดูแลโดยผู้ให้บริการเครือข่าย 3G</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
ความสำคัญต่าง ๆ เหล่านี้เองที่เป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM จำนวนมากทั่วโลก รวมนักลงทุนหน้าใหม่ ให้ความสำคัญสำหรับการแสวงหาสิทธิ์ในการเปิดให้บริการเครือข่าย 3G และมีแผนกำหนดเปิดให้บริการเทคโนโลยี W-CDMA ดังมีข้อมูลแสดงในรูปที่ 8 โดยเฉพาะยักษ์ใหญ่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อันดับต้น ๆ ของโลก 8 รายได้ตัดสินใจเลือกมาตรฐาน W-CDMA เป็นเทคโนโลยี 3G ดังแสดงในรูปที่ 9</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Helvetica; font-size: 12px;">
ในท้ายที่สุด ความสมบูรณ์แบบในการรองรับธุรกิจ Non-Voice ของมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA จะช่วยผลักดันให้เกิดห่วงโซ่ธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ ดังแสดงในรูปที่ 10 แม้จะมีความพยายามในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจโทรคมนาคมภายในประเทศที่จะผลัก ดันให้เกิดการประสานผลประโยชน์อย่างลงตัวระหว่างผู้ให้บริการเครือข่าย โทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G/2.5G/2.75G กับผู้ประกอบการสื่อข้อมูลต่าง ๆ มาก่อนหน้านี้ แต่เนื่องจากข้อจำกัดของเครือข่ายในตระกูล GSM และ CDMA เองที่ไม่มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะสร้างความประทับใจต่อผู้ใช้บริการ จึงทำให้เกิดการขาดช่วงของความสมดุลในการผสานผลประโยชน์ เมื่อพิจารณาจากความสำเร็จของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ FOMA ของบริษัท NTT DoCoMo ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่เปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA และประสบความสำเร็จในการดึงศักยภาพของเครือข่าย W-CDMA ให้เกื้อหนุนต่อความลงตัวสำหรับการร่วมมือในธุรกิจ Non-Voice ในประเทศญี่ปุ่นอย่างงดงาม ต่อเนื่องด้วยความคืบหน้าในการสานต่อโครงสร้างธุรกิจ Non-Voice ในประเทศจีนและอีกหลาย ๆ ประเทศ จึงสรุปได้ว่ามาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA จะเป็นการเปิดประตูสู่ธุรกิจ Non-Voice ในประเทศไทยในอนาคตอันใกล้</div>
<span style="color: black; font-family: Tahoma; font-size: x-small;"></span></span></div>
<span style="color: black; font-family: Tahoma; font-size: x-small;"></span></td></tr>
<tr></tr>
</tbody></table>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-65587813617435124922013-02-18T17:39:00.005-08:002013-02-18T17:39:55.390-08:00โยคะสําหรับคนท้อง<br />
<div class="post-header" style="color: #222222; font-family: Georgia, Utopia, 'Palatino Linotype', Palatino, serif; font-size: 13px; line-height: 1.6; margin: 0px 0px 1.5em;">
<div class="post-header-line-1">
</div>
</div>
<div class="post-body entry-content" id="post-body-4423618020844803140" itemprop="articleBody" style="color: #222222; font-family: Georgia, Utopia, 'Palatino Linotype', Palatino, serif; font-size: 15px; line-height: 1.4; position: relative; width: 520px;">
<span style="background-color: white;">โยคะ ท่า ต่างๆ โยคะสําหรับคนท้อง โดยเฉพาะ เลย<br /><br /> โยคะ สุตราได้รับการสอบถามจากว่า ที่คุณแม่หลายๆ ท่าน... ถึงการออกกำลังกายในช่วงการตั้งครรภ์และประโยชน์ที่จะได้รับ รวมถึงแนวทางในการออกกำลังกายระหว่างตั้งครรภ์เข้ามาในช่วง 3 สัปดาห์นี้ ทางโยคะสุตรา... จึงขอนำการฝึกโยคะสำหรับว่าที่คุณแม่มาฝาก<br /><br /> ประโยชน์ของการดูแลร่างกายให้แข็งแรงและการออกกำลังกายเบาๆ ระหว่างตั้งครรภ์ นอก จากจะช่วยเพิ่มความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าให้แก่คุณแม่แล้ว ยังช่วยลดอาการไม่สบายตัวต่างๆ เช่น ท้องผูก เป็นตะคริว ปวดหลัง คุณแม่จะรู้สึกแข็งแรงขึ้นและสามารถจัดการกับภารกิจประจำวันได้อย่างไม่มี ปัญหา ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น ผ่อนคลายความเครียดและป้องกันภาวะอารมณ์ซึมเศร้าขณะตั้งครรภ์ ช่วยให้คุณแม่ดูดีและรู้สึกดี... ช่วยให้รูปร่างหลังคลอดกลับมาดีเหมือนเดิมได้เร็วขึ้น และเป็นการเตรียมตัวสำหรับการคลอดที่ดีที่สุดอีกด้วย<br /><br /> การออกกำลังกายสำหรับคุณแม่ในช่วงตั้ง ครรภ์นี้ ควรเป็นกีฬาที่อ่อนโยนสำหรับคุณแม่และทารกในครรภ์ และควรปรึกษาคุณหมอที่ดูแลการตั้งครรภ์ถึงระยะปลอดภัยในการออกกำลังกายด้วย สำหรับคุณแม่ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายมากนัก ควรเริ่มฝึกทีละน้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และกีฬาที่เหมาะสมควรเป็นประเภทที่ใช้แรงกระแทกน้อย และอ่อนโยน อย่างเช่น การฝึกโยคะ ซึ่งจะมีส่วนช่วยยืดกล้ามเนื้อเพื่อผ่อนคลายและการฝึกหายได้อย่างเต็มอิ่ม แต่ควรหลีกเลี่ยงการฝึกท่าที่ยากและเสี่ยงอันตรายเกินไป<br />โยคะสำหรับหญิงตั้งครรภ์<br /><a href="" name="more"></a> ท่าโยคะสำหรับหญิงตั้งครรภ์ฉบับนี้ เป็นตอนแรก ท่าที่แนะนำให้ทำ คือ ท่าแมวยกขา และท่าผีเสื้อ ท่าแมวมีประโยชน์ช่วยให้ขาและหลังแข็งแรง เตรียมพร้อมเพื่อการรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ลดอาการปวดหลังได้ด้วย การหายใจจะดีขึ้น ช่วยให้ออกซิเจนไปถึงลูกน้อยได้มากขึ้น ส่วนท่าผีเสื้อ ทำให้อุ้งเชิงกรานได้รับการบริหาร... ผู้ที่ต้องการคลอดธรรมชาติ จะทำให้คลอดง่ายขึ้น วิธีปฏิบัติท่าแมวยกขา</span><pre style="text-align: center;"><span style="background-color: white; font-size: x-small;"><a href="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/11/yoka1.jpg" style="color: #888888; text-decoration: initial;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5505" height="121" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/11/yoka1.jpg" style="-webkit-box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.0980392) 1px 1px 5px; border: 1px solid rgb(238, 238, 238); box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.0980392) 1px 1px 5px; padding: 5px; position: relative;" title="yoka1" width="171" /></a></span></pre>
<span style="background-color: white;"><span style="font-size: x-small;"> 1.เริ่มด้วยท่าแมว ...วางมือและเข่าเท่าความกว้างของไหล่ แขนและต้นขาให้ตั้งฉากกับพื้น ปลายเท้าปล่อยราบกับพื้น (รูป 1)</span></span><pre style="text-align: center;"><span style="background-color: white; font-size: x-small;"><a href="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/11/yoka2.jpg" style="color: #888888; text-decoration: initial;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5506" height="110" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/11/yoka2.jpg" style="-webkit-box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.0980392) 1px 1px 5px; border: 1px solid rgb(238, 238, 238); box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.0980392) 1px 1px 5px; padding: 5px; position: relative;" title="yoka2" width="170" /></a></span></pre>
<span style="background-color: white;"><span style="font-size: x-small;"> 2.หายใจเข้า หายใจออก... ยกขาขวาขึ้นขนานพื้น หายใจเข้าออกยาวๆ 2-3 ลมหายใจ (รูป 2)</span></span><pre style="text-align: center;"><span style="background-color: white; font-size: x-small;"><a href="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/11/yoka3.jpg" style="color: #888888; text-decoration: initial;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5507" height="107" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/11/yoka3.jpg" style="-webkit-box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.0980392) 1px 1px 5px; border: 1px solid rgb(238, 238, 238); box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.0980392) 1px 1px 5px; padding: 5px; position: relative;" title="yoka3" width="170" /></a></span></pre>
<span style="background-color: white;"><span style="font-size: x-small;"> 3.หายใจเข้า หายใจออก ยกแขนซ้ายขึ้นขนานพื้น ทรงตัวให้ดี ระวังล้ม หายใจเข้าออกยาวๆ 2-3 ลมหายใจ (รูป 3)... ลดแขนขาลง หายใจเข้าออก แล้วทำสลับข้าง</span></span><pre><span style="background-color: white; font-size: x-small;"><strong>
</strong></span></pre>
<pre style="text-align: center;"><span style="background-color: white; font-size: x-small;"><a href="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/11/yoka4.jpg" style="color: #888888; text-decoration: initial;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5508" height="165" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/11/yoka4.jpg" style="-webkit-box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.0980392) 1px 1px 5px; border: 1px solid rgb(238, 238, 238); box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.0980392) 1px 1px 5px; padding: 5px; position: relative;" title="yoka4" width="173" /></a></span></pre>
<span style="background-color: white;"><span style="font-size: x-small;"> 1.นั่งพับขาเข้ามาหากัน ฝ่าเท่าชิดกัน มือจับเท้าทั้งสอง ดึงเท้าเข้าใกล้สะโพก หลังยืดตรง พยายามกดเข่าใกล้พื้น ..(รูป 4)</span></span><pre></pre>
<div style="text-align: center;">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5509" height="147" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/11/yoka5.jpg" style="-webkit-box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.0980392) 1px 1px 5px; border: 1px solid rgb(238, 238, 238); box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.0980392) 1px 1px 5px; padding: 5px;" title="yoka5" width="175" /></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5510" height="157" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/11/yoka6.jpg" style="-webkit-box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.0980392) 1px 1px 5px; border: 1px solid rgb(238, 238, 238); box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0.0980392) 1px 1px 5px; padding: 5px;" title="yoka6" width="173" /></span></div>
<span style="background-color: white; font-size: x-small;"> 2.หายใจเข้า.. ยืดหลังยืดตัวไปด้านหน้า หายใจออกค่อยๆ โน้มตัวลง ให้มากเท่าที่ทำได้ เงยหน้าไว้เพื่อให้หลังถูกยืด หายใจเข้าออกลึกๆ ค้างไว้สักครู่แล้วลดลง (รูป 5, 6)</span></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-75379180127005287162013-02-18T17:30:00.002-08:002013-02-18T17:42:39.461-08:00ตร.ส่งทีมล่า2ผัวเมียทำร้ายเด็กกะเหรี่ยงคาดได้ตัวเร็วนี้<br />
<div class="det-news-title" style="background-color: white; border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 24px; font: inherit; margin: 0px; padding: 4px; vertical-align: baseline;">
<a href="http://www.innnews.co.th/shownews/summary?category=5" style="border: 0px; color: #0066cc; font-size: 11px; font: inherit; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: initial; vertical-align: baseline;">ข่าวอาชญากรรม </a><span style="color: #888888; font-size: 0.86em;">วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 7:53น.</span></div>
<div class="det-news-image-box" style="background-color: white; border: 0px; color: #555555; font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; font: inherit; margin: 0px 0px 28px; max-width: 610px; padding: 0px; text-align: center; vertical-align: baseline; width: 610px;">
<img alt="435480" src="http://www.innnews.co.th/images/news/2013/5/435480-02.jpg" style="background-color: #eaeaea; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; border: 1px solid rgb(214, 214, 214); box-shadow: black 0px 5px 5px -3px; font-size: 13px; font: inherit; margin: 0px; max-height: 590px; max-width: 590px; min-height: 340px; padding: 3px; vertical-align: baseline;" /></div>
<div class="det-news-brief" style="background-color: white; border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; font-weight: bold; font: inherit; margin: 28px 0px 14px; padding: 4px; vertical-align: baseline;">
ผกก.กำแพงเพชร เผย สั่งทีมเฝ้าแหล่งกบดาน 2 สามีภรรยา ทารุณกรรม เด็กหญิงชาวกะเหรี่ยง คาด ได้ตัวเร็วนี้ พร้อมประสานโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ส่งรักษา</div>
<div class="det-news-detail" style="background-color: white; border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; font: inherit; margin: 0px 0px 28px; padding: 4px; vertical-align: baseline;">
<div style="border: 0px; font-size: 13px; font: inherit; margin-bottom: 1.5em; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
พ.ต.อ.อัครสรศ์ ศรีสุพัฒน์ ผกก.สภ.เมืองกำแพงเพชร เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงความคืบหน้าในการติดตาม 2 สามีภรรยาที่ทารุณกรรมเด็กหญิงชาวกะเหรี่ยง อายุ 12 ปี ที่หลบหนีการประกันตัวว่า ตอนนี้ยังไม่ได้เบาะแสเพิ่มเติม แต่พบเป้าหมายที่คนร้ายจะหลบหนี 2 - 3 แห่ง แต่คนร้ายยังไม่มีความเคลื่อนไหวคาดว่าจะกบดานอยู่ อย่างไรก็ตามได้สั่งให้ทีมสืบสวนที่ติดตามตัวเฝ้าระวังจุดดังกล่าวไว้แล้ว ทั้งนี้ศาลได้ทำการยึดเงินประกันทั้งหมด พร้อมยกเลิกหมายจับเก่า และอนุมัติหมายจับใหม่เพิ่มเติม หลังจากคนร้ายหนีประกันตัวในข้อหาเดิม อย่างไรก็ตาม ได้ร่วมกับ ภูธรภาค 6 กระจายกำลังหาข่าวเต็มพื้นที่ และมีการตั้งรางวัลนำจับถึง 1 แสนบาท คาดว่าได้ตัวในเร็วๆ นี้ แน่นอน</div>
<div style="border: 0px; font-size: 13px; font: inherit; margin-bottom: 1.5em; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ส่วนการหลบหนีออกนอกประเทศนั้น ต้องผ่านด่าน ตม. ซึ่งคนร้ายไปไม่ได้แน่นอน เนื่องจากส่งหนังสืออายัดตัว ไปยังด่านทั้งหมดแล้ว ยกเว้นลอบหนีผ่านช่องทางอื่น ซึ่งเราก็เฝ้าระวังไว้ตลอด ส่วนอาการของเด็กหญิงชาวกะเหรี่ยง ทางรัฐบาลก็ส่งตัวแทนมาดูแลเพื่อจัดหาโรงพยาบาลมารักษาตัวในกรุงเทพฯ อยู่ในขั้นตอนการประสานงานคาดว่าอีกไม่นานจะนำเข้าไปรักษาได้ ส่วนสุขภาพจิต ก็ดีขึ้นเป็นลำดับ</div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-10936438729109226402013-02-18T17:29:00.001-08:002013-02-18T17:42:06.186-08:00ธานินทร์เผยพีซีซีแจงศุกร์นี้ยันเสร็จใน30วัน<br />
<div class="det-news-title" style="background-color: white; border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 24px; font: inherit; margin: 0px; padding: 4px; vertical-align: baseline;">
<a href="http://www.innnews.co.th/shownews/summary?category=5" style="border: 0px; color: #0066cc; font-size: 11px; font: inherit; margin: 0px; padding: 0px; text-decoration: initial; vertical-align: baseline;">ข่าวอาชญากรรม </a><span style="color: #888888; font-size: 0.86em;">วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 8:22น.</span></div>
<div class="det-news-image-box" style="background-color: white; border: 0px; color: #555555; font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; font: inherit; margin: 0px 0px 28px; max-width: 610px; padding: 0px; text-align: center; vertical-align: baseline; width: 610px;">
<img alt="435485" src="http://www.innnews.co.th/images/news/2013/5/435485-01.jpg" style="background-color: #eaeaea; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; border: 1px solid rgb(214, 214, 214); box-shadow: black 0px 5px 5px -3px; font-size: 13px; font: inherit; margin: 0px; max-height: 590px; max-width: 590px; min-height: 340px; padding: 3px; vertical-align: baseline;" /></div>
<div class="det-news-brief" style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; font-weight: bold; font: inherit; margin: 28px 0px 14px; padding: 4px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: #f4cccc;">ผอ.ปราบปรามทุจริต ดีเอสไอ เผย พีซีซี ส่งเอกสารแจงโกงโรงพักศุกร์นี้ ยัน สรุปสำนวนส่วน จนท.รัฐ ใน 30 วัน ตามกรอบ เดินหน้าสอบฉ้อโกงต่อ</span></div>
<div class="det-news-detail" style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; font: inherit; margin: 0px 0px 28px; padding: 4px; vertical-align: baseline;">
<div style="border: 0px; font: inherit; margin-bottom: 1.5em; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: #f4cccc;"> นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามทุจริต กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ความคืบหน้า การสอบสวนในคดีการสร้างสถานีตำรวจทั่วประเทศ 396 แห่ง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ก่อสร้างไม่เสร็จนั้น บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้ก่อสร้างตามสัญญา จะส่งเอกสารรายะเอียดการก่อสร้างมายังดีเอสไอ ภายในวันที่ 22 ก.พ. นี้ หลังจากนั้น ทางพนักงานสอบสวนจะพิจารณา ตรวจสอบความผิดปกติ ก่อนที่จะเรียกตัวผู้บริหารของบริษัทดังกล่าว มาสอบสวนเพิ่มเติมอีกครั้ง โดยในส่วนของคดีนี้ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าพนักงานของรัฐ จะแล้วเสร็จตามกรอบเวลาคือ 30 วัน หรือภายใน สิ้นเดือน ก.พ.นี้แน่นอน</span></div>
<div style="border: 0px; font: inherit; margin-bottom: 1.5em; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="background-color: #f4cccc;"> นอกจากนี้ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามทุจริต ยังระบุว่า คดีดังกล่าว ต้องแยกเป็น 2 คดี คือ ความผิดในส่วนเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ตนเองเป็นผู้รับผิดชอบในการสรุปสำนวน และคดีฉ้อโกงที่มี พ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง เชี่ยวชาญพิเศษ ดีเอสไอ เป็นผู้ดูแลอยู่ และเดินหน้าสอบสวนคดีต่อเนื่อง ซึ่งอาจสรุปสำนวนช้ากว่าคดีที่ตนเองทำอยู่ แต่อย่างไรก็ตามคาดว่า ทั้ง 2 คดี จะสามารถสรุปสำนวนได้ในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน เพราะมีหลักฐานที่เกี่ยวโยงกันอยู่</span></div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-47690369752534972642013-02-18T17:26:00.004-08:002013-02-18T17:41:36.408-08:00'อีสาน' ยังไม่ยอม ร้อง 'ฟีฟ่า' ตรวจสอบถูกริบสิทธิ์<div class="interior" id="header" style="background-color: white; color: #666666; font-family: Tahoma, 'Lucida Grande', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 12px; margin: 0px auto; width: 940px;">
<div class="pagetitle" style="background-position: 15px 50%; background-repeat: no-repeat no-repeat; border-bottom-color: rgb(204, 204, 204); border-bottom-style: dotted; border-bottom-width: 1px; height: 34px; line-height: 40px; margin: 0px 0px 3px; padding-top: 5px;">
<div class="pagetitleTxt" id="long" style="color: #343434; float: none !important; font-family: DBOzoneXRegular, Tahoma, 'Lucida Grande', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 32px; line-height: 34px; padding: 0px 0px 0px 15px; width: 920px;">
<img alt="Pic_327501" class="detail-image" height="378" src="http://www.thairath.co.th/media/content/2013/02/18/327501/hr1667/630.jpg" style="color: #666666; font-family: Tahoma, 'Lucida Grande', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 12px; margin: 0px 0px 5px;" width="630" /></div>
</div>
</div>
<div class="page" id="details" style="color: #666666; float: left; margin: 0px 0px 0px 15px; padding: 0px 10px 10px 0px; width: 630px;">
<div class="column-420 column-left" style="float: left; margin: 0px; width: 420px;">
<div class="entry" id="entry" style="line-height: 18px; margin: 0px; min-height: 620px; padding: 0px 0px 20px;">
<div style="background-color: white; font-family: Tahoma, 'Lucida Grande', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 12px; margin-bottom: 10px;">
</div>
<div style="margin-bottom: 10px;">
<span style="font-family: Tahoma, 'Lucida Grande', Verdana, Arial, sans-serif; font-size: 12px;"><span style="background-color: white;"> </span><span style="background-color: #fff2cc;"> </span></span><span style="background-color: #fff2cc; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">อีสาน ยูไนเต็ด ร่อนจม.ร้อง ฟีฟ่า ขอความเป็นธรรม หลังถูกส.บอลไทย ตัดสินให้คืนสิทธิ์การทำทีมสู้ศึกลูกหนังไทยลีก 2013 ไปให้กับ บริษัท สโมสรฟุนตบอล ศรีสะเกษ จำกัด อ้างมีการเมืองแทรกแซง...<br style="margin: 0px;" /><br style="margin: 0px;" /> วันที่ 18 ก.พ. หลังจาก สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ตัดสินใจให้ อีสาน ยูไนเต็ด คืนสิทธิ์การทำทีมให้กับ บริษัท สโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ จำกัด สำหรับทำศึกโตโยต้าไทยพรีเมียร์ลีก 2013 เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา ล่าสุด ทีมอีสาน ยูไนเต็ด ได้ส่งหนังสือร้องต่อ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่าแล้ว โดยใจความในจดหมายดังกล่าว ซึ่งลงชื่อของ นายสมชาติ พงคพนาไกร ผู้อำนวยการสโมสร กล่าวว่า จากมติของสมาคมฟุตบอลฯ ส่งผลให้สโมสรได้รับความเสียหาย จึงต้องการให้ ฟีฟ่า เข้ามาตรวจสอบและให้ความเป็นธรรมกับทีมโดยเร็ว เพื่อช่วยยุติปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งมีการเมืองเข้ามาแทรกแซง<br style="margin: 0px;" /><br style="margin: 0px;" /> สำหรับ เนื้อความเต็มๆ ในจดหมายฉบับนี้ ระบุว่า<em style="margin: 0px;"> "นับตั้งแต่ ศรีสะเกษ เอฟซี ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอีสาน ยูไนเต็ด พร้อมทั้งย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่อุบลราชธานี โดยได้รับการรับรองจาก บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด และ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ก็มีความจริงจังในการพัฒนาทีมตามกรอบของสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย และ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ มาตลอด ในขณะนี้ อีสาน ยูไนเต็ด มีผู้เล่น 36 คน และเจ้าหน้าที่ทีมอีก 15 คน รวมทั้งมีการสร้างนักเตะระดับเยาวชนในรุ่นอายุไม่เกิน 10 ปี 12 ปี 15 ปี อีกด้วย<br style="margin: 0px;" /><em style="margin: 0px;">แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าทุกคนจะตกงานและไม่มีค่าตอบแทนใดๆ เนื่องจากมีการเมืองเข้ามาแทรกแซงส่งผลให้อีสาน ยูไนเต็ด ถูกระงับสิทธิ์การส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันในฤดูกาล 2013 ที่จะเริ่มวันที่ 2 มี.ค. ทำให้ไม่มีผู้สนับสนุนรายใดเข้ามาช่วยเหลือทีม อีกทั้งยังส่งผลกระทบให้อีสาน ยูไนเต็ด ไม่มีงบประมาณสำหรับจ่ายเงินเดือนผู้เล่นและเจ้าหน้าทีมเป็นจำนวนเดือนละ 3.5 ล้านบาท และทุกคนก็ไม่สามารถหาต้นสังกัดใหม่ได้ทันเวลาอีกด้วย </em><em style="margin: 0px;">จากปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ อีสาน ยูไนเต็ด ขอให้สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ โปรดส่งคณะกรรมการเข้ามาประเทศไทยเพื่อเข้ามาตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นและให้ความเป็นธรรมกับอีสาน ยูไนเต็ด ที่พยายามพัฒนาทีมสู่ความเป็นเลิศ โดยไม่ต้องการให้การเมืองเข้ามาทำลายฟุตบอล </em><em style="margin: 0px;">ขอขอบคุณสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติที่เห็นความสำคัญและจะช่วยยุติสถานการณ์นี้โดยเร็ว" </em></em></span></div>
<div style="margin-bottom: 10px;">
<span style="background-color: #fff2cc; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ทางด้าน “บังยี” วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลฯ ออกมากล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของ อีสาน ยูไนเต็ด ที่จะทำเรื่องฟ้องร้องกับทางฟีฟ่า อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่า เห็นด้วยกับ อนุกรรมาธิการพิจารณาฯ มีมติให้ทีมอีสาน ยูไนเต็ดคืนสิทธิ์การทำทีมให้กับสโมสรศรีสะเกษ เอฟซี ตามเดิม หลังจากตรวจพบเอกสารดังกล่าว มีการปลอมแปลงเอกสารขึ้นมาจริง.</span></div>
</div>
</div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-60535586592120724112013-02-14T19:22:00.000-08:002013-02-14T19:22:05.399-08:00ประวัติปลาหมอสีในประเทศไทย<div style="text-align: center;">
<span style="font-family: Times, Times New Roman, serif;"> <span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;">ประวัติปลาหมอสี</span></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><span style="font-family: Times, Times New Roman, serif;"><br /></span></span></div>
<span style="font-family: Times, Times New Roman, serif;"><div style="text-align: center;">
<img alt="" border="0" height="143" src="http://forum.narandd.com/imageupload/image/kwt2vs-c9455b.jpg" style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;" width="200" /></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #323232; line-height: 16.890625px;"><br /></span></div>
<span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
ประวัติปลาหมอสีโดยคร่าวๆไม่ได้มีการยืนยัน</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
เป็นที่แน่นอนว่าผู้นำเข้านั้นเป็นใครโดยเมื่อราวๆ</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
ปี พ.ศ.2505 มีปลาหมอสีตัวแรกที่นำเข้ามาชื่อ</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
แจ๊คเดมเซย์ ซึ่งถือเป็นตัวแรกที่ที่มีผู้นำเข้ามาเลี้ยง</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
ต่อมาก็คือ ออสการ์ เป็นปลาหมออีกชนิดหนึ่งเช่น</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
กันและต่อมาได้ถูกไปแยกสายพันธุ์ออกไปเป็นปลา</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
ออสการ์โดยเฉพาะที่เราเห็นในปัจจุบัน</div>
</span><div style="text-align: center;">
<span style="color: #323232; line-height: 16.890625px;"><br /></span></div>
<span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
ส่วนประวัติปลาหมอสีที่นำเข้ามานั้นอยู่ในช่วง 30 ปี ขึ้นไปโดยถิ่นกำเนิดของปลา</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
หมอสี จะแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 2 กลุ่ม คือ </div>
</span><div style="text-align: center;">
<span style="color: #323232; line-height: 16.890625px;"><br /></span></div>
<span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
***ปลาหมอสีเซวาลุ่มทอง***</div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
</span><div style="text-align: center;">
<img alt="" border="0" height="124" src="http://forum.narandd.com/imageupload/image/kwt304-d89810.jpg" style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;" width="200" /></div>
<span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
1. กลุ่มที่วางไข่บนพื้น หรือ ซิคลาโซน่า</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
มีถิ่นกำเนิดบริเวณทวีปอเมริกากลาง อเมริกาใต้</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
บลาซิล และลุ่มแม่น้ำอะเมซอน ซึ่งได้แก่ ปลาเซวา</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
ลุ่มทองที่กำลังนิยมอยู่ตอนนี้ นอกจากนี้ยังมีพวก</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
ซิลสไปลุ่ม และปลาหมอมาคูลิคัวด้าอีกด้วย</div>
</span><div style="text-align: center;">
<span style="color: #323232; line-height: 16.890625px;"><br /></span></div>
<span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
***ปลาหมอสีเอ็ดคอนดิโด้***</div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
</span><div style="text-align: center;">
<img alt="" border="0" height="160" src="http://forum.narandd.com/imageupload/image/kwt2zn-652174.jpg" style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;" width="200" /></div>
<span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
2.กลุ่มที่อมไข่ไว้ในปาก มีถิ่นกำเนิดบริเวณ</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
ทะเลสาบมาลาวี แถบแทนซาเนีย อัฟริกาใต้</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
ซึ่งพวกแซและพวกซาอี ซึ่งได้จับปลาหมอสี</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
ออกขายในตลาดโลก </div>
</span><div style="text-align: center;">
<span style="color: #323232; line-height: 16.890625px;"><br /></span></div>
<span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
สำหรับปลาหมอสีในประเทศไทยได้มีผู้นำเข้ามากกว่า 30 ปีแล้ว โดยนำเข้า</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
ปลาพันธุ์แจ๊คเดมเซย พันธุ์ออสการ์ เข้ามาเลี้ยง และเริ่มมีการเลี้ยง อย่างแพร่</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
่หลายในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา โดยเริ่มมีการเลี้ยงเพื่อความสวยงามมากขึ้น</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
และเริ่มมีการประกวดแข่งขันเกิดขึ้นอีกด้วย จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งจัดได้</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
ว่าปลาหมออยู่ในช่วงที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมมากและเริ่มเป็นที่รู้จักกันในหมู่นัก</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
เลี้ยงปลาพอสมควร ในปัจจบันประเทศไทยยังมีการส่งออกปลาหมอสีที่ผู้เลี้ยง</div>
</span><span style="background-color: #f8f3de; color: #323232; line-height: 16.890625px;"><div style="text-align: center;">
สามารถเพาะพันธุ์ได้ไปยังต่างประเทศอีกด้วย</div>
</span></span>ธาตุเจ้าเรือนhttp://www.blogger.com/profile/01060504016788147576noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-214964552061903141.post-91016409632688318382013-02-13T22:40:00.001-08:002013-02-13T22:40:22.309-08:00ปลามังกรหรือปลาอโรวาน่า<div style="text-align: center;">
<span class="embed-youtube" style="display: block; text-align: center;"><iframe class="youtube-player" frameborder="0" height="359" src="http://www.youtube.com/embed/4i7U7inK_kM?version=3&rel=1&fs=1&showsearch=0&showinfo=1&iv_load_policy=1&wmode=transparent" type="text/html" width="584"></iframe></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://picpost.postjung.com/data/144/144860-7-3996.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" class="aligncenter" height="240" src="http://picpost.postjung.com/data/144/144860-7-3996.jpg" title="ปลามังกร" width="320" /></a></div>
<div>
<span style="color: lime;"></span></div>
<div>
<span style="color: lime;"><strong> ปลาอโรวาน่า
(Arowana) AROWANA หรือ “Bonytongue fish” มีชื่อเรียกภาษาไทยว่า ปลาตะพัด
หรือ ปลามังกร
มีลักษณะเด่นที่รูปร่างคล้ายมังกรและมีความเชื่อกันว่าเป็นปลานำโชค
ปลาชนิดนี้จัดอยู่ในครอบครัวออสทีโอกลอสซิตี้ (Osteoglossidae)
ประกอบด้วยปลา 4 สกุล (Genus) และ 7 ชนิด (Species)
ซึ่งแต่ละชนิดมีถิ่นกำเนิดแตกต่างกันออกไป ดังนี้</strong><strong>ลักษณะรูปร่าง</strong><strong> มีลักษณะลำตัวยาวแบนข้าง ส่วนท้องแบนมาก เป็นสันคม
ความกว้างลำตัวบริเวณส่วนต้นและส่วนท้ายของลำตัว
(บริเวณโคนครีบก้น)เกือบเท่ากัน มีความยาวลำตัวเป็น 3.5-4.8
เท่าของความกว้างลำตัว และ 3.5-4 เท่าของความยาวส่วนหัว
ปลาที่มีอายุน้อยบริเวณสันหลังจากจงอยปากไปจนถึงบริเวณโคนหางเกือบเป็นเส้น
ตรง แต่แม่ปลาอายุมากขึ้นจะโค้งเล็กน้อย เกล็ดบริเวณลำตัวมีขนาดใหญ่ หนา
และแข็งแรง</strong><strong> จำนวนเกล็ดตามแนวเส้นข้างตัว
(lateral line) 21-24 เกล็ด ครีบหลังและครีบก้นอยู่ค่อนไปทางด้านหลัง
ครีบหลังสั้นกว่าครีบก้น ครีบก้นมีความยาวเท่าๆกับความยาวของส่วนหัว
ครีบหลังมีจำนวนครีบ 20 ก้าน ครีบก้นมี 26-27 ก้าน ครีบอกค่อนข้างยาว
ยาวจนถึงโคนครีบท้องวัดความยาวได้ประมาณ 1 ใน 3 ของความยาวลำตัว
และมีจำนวน 7 ก้าน </strong><strong> ครีบท้องสั้นมีเพียง 5 ก้าน
ครีบหางกลมมนไม่ติดกับครีบหลังและครีบก้น ปลาชนิดนี้ปากกว้างมาก
เฉียงขึ้นด้านบน มุมปากยาวเลยไปทางด้านล่างของส่วนหัว
บนขากรรไกรและเพดานปากมีฟันแหลมคม
ขากรรไกรล่างยื่นยาวกว่าขากรรไกรบนเล็กน้อย
ที่ปลายขากรรไกรล่างมีหนวดขนาดใหญ่สั้นๆ 1 คู่
ตามีขนาดใหญ่มากกว่าความยาวของจงอยปากเล็กน้อย</strong><strong> </strong></span></div>
<div>
<span style="color: lime;"><strong> ปลา
อะโรวาน่าชนิดนี้โตเต็มที่มีความยาวประมาณ 1 เมตร น้ำหนักมากกว่า 7
กิโลกรัม
ชอบอาศัยแหล่งน้ำบริเวณภูเขาที่มีน้ำไหลเอื่อยๆ ที่พื้นท้องน้ำเป็นหินปน
ทรายน้ำค่อนข้างขุ่นและเป็นกรดเล็กน้อย(pH 6-6.5)
เป็นปลาที่มีไข่จำนวนน้อย ปลาขนาด 3-6 กิโลกรัม จะมีไข่ประมาณ 40-100
ฟองเท่านั้น เมื่อวางไข่แล้วจะฟักไข่ในปากขนาดไข่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.72
เซนติเมตร สามารถแบ่งตามทวีปที่พบได้ 4 ทวีป ดังนี้</strong><strong>1. อะโรวาน่าจากทวีปเอเชีย</strong><strong>
ปลาอะโรวาน่าจากทวีปเอเชีย จัดเป็นอะโรวาน่าที่นิยมสูงสุด
ในหมู่นักเลี้ยงปลา ในกลุ่มนี้ มีชื่อ วิทยาศาสตร์ว่า Scleropages
Formosus รูปร่างของปลา จะค่อนข้างออกไปทาง ป้อมสั้น หากเทียบกับสายพันธุ์
ที่มาจากทวีปอเมริกาใต้ นอกจากนี้ยัง จัดเป็นกลุ่มที่มีราคาแพงที่สุด
อันเนื่องมาจาก สีสรร อันสวย เกินบรรยาย สีทองดั่งทองคำเปลว หรือ
สีแดงแบบเลือดนก</strong><strong> </strong></span></div>
<div>
<span style="color: lime;"><strong> <img alt="" border="0" height="13" src="http://img.kapook.com/image/icon/plus.gif" width="13" /> 1. อะโรวาน่าทองมาเลย์ ( CROSS BACK )</strong><strong> อะโรวาน่า
ทองจากมาเลเซีย มีชื่อเรียกหลายแบบ ตามแหล่งที่พบ เช่น ปาหังโกลด์ มาลายัน
โบนีทัง (Malayan Bony Tongue), บูกิทมีราสบลู, ไทปิงโกลด์เดน
หรืออะโรวาน่าทองมาเลย์ สาเหตุของการมีชื่อเรียกมากมาย อย่างนี้
ก็เพราะว่าอะโรวาน่าชนิดนี้ สามารถพบได้ทั่วไป ในมาเลเซีย
ปลาอะโราวาน่าทองมาเลเซีย จัดเป็นปลาอะโรวาน่า
ที่มีราคาแพงที่สุดในบรรดาประอะโรวาน่าด้วยกัน
ทั้งนี้เนื่องมาจากปลาชนิดนี้ จะให้ลูกน้อย และในธรรมชาติ
หาได้ยากเต็มทีแล้ว ทุกวันนี้มีเพาะเลี้ยงกันที่
ในมาเลเซียและสิงคโปร์เท่านั้น อะโรวาน่าทองมาเลเซีย สามารถแบ่งจริงๆ
ได้เป็น 3 พวก ใหญ่ๆ คือ</strong><strong> – สายพันธุ์ที่ฐานเกล็ดออกสีน้ำเงิน หรือม่วง ( Blue or Purple Based )</strong><strong> </strong></span></div>
<div>
<span style="color: lime;"><strong>– สายพันธุ์ที่ฐานเกล็ดออกสีทอง (Gold Based)</strong></span><span style="color: lime;"><strong> – สายพันธุ์ที่ฐานเกล็ดออกสีเขียว (Green Based)</strong></span><span style="color: lime;"><strong>
สำหรับ ปลาประเภท 1 และ 2 บางครั้งจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน
เนื่องจาก สีน้ำเงิน หรือ ม่วงที่เราเห็น ขึ้นอยู่กับมุมสะท้อน
ที่เราดูปลา เลยทำให้บางครั้งเราเห็น ออกสีม่วง ทั้งที่ความจริงแล้ว
ปลามีฐานเกล็ดสีน้ำเงิน สำหรับแบบที่ 3 หรือ แบบที่มีฐานเกล็ดสีทอง แบบนี้
จัดว่าเป็นสุดยอดของปลาอะโรวาน่า ทองมาเลเซีย เนื่องจาก เมื่อปลาโตเต็มที่
ปลาจะมีสรรที่เหลืองอร่าม ดั่งทองคำเคลื่อนที่ ปลาชนิดนี้
ดูเหมือนจะเป็นอะโรวาน่าทองมาเลย์ประเภท แรก
ที่สีทองจะอ้อมข้ามหลังได้เร็ว กว่าสายพันธุ์อื่นๆ</strong></span><span style="color: lime;"><strong>
การผสมข้ามสายพันธุ์ ก็ได้ทำให้เกิด สายพันธุ์ใหม่ๆ
ของอะโรวาน่าทองมาเลเซีย ขึ้นมา ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า Platinum White
Golden และ Royal Golden Blue Arowana เป็นต้น</strong></span>
<span style="color: lime;"><strong> <img alt="" border="0" height="13" src="http://img.kapook.com/image/icon/plus.gif" width="13" /> 2. อะโรวาน่าแดง ( Red Arowana )</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong>
ปลาอะโราวาน่าแดง ที่มีขายกันในบ้านเรา มีที่มาจากหลายแหล่งน้ำ
ในทางตะวันตกของกัลลิมันตัน ในประเทศ อินโดนีเซีย
บริเวณแนวสันหลังจะมีสีน้ำตาล
เกล็ดบริเวณลำตัวที่อยู่ค่อนไปทางด้านหลังมีสีเขียวอมน้ำตาล
เกล็ดบริเวณด้านข้างลำตัว มีสีเขียวเหลือบสีแดง หรือแดงอมส้ม
บริเวณส่วนท้องและแผ่นปิดเหงือกสีแดงหรือแดงอมส้มครีบอกและครีบท้องสีเขียว
แต่บริเวณส่วนปลายครีบจะมีสีแดงหรือแดงอมส้ม
ริมฝีปากก็จะมีสีแดงหรือแดงอมส้มเช่นกัน อะโรวาน่า แดง สามารถ แบ่งได้เป็น
4 ประเภทหลักๆ คือ</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong> – แดงเลือดนก (Blood Red)</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong> – แดงพริก (Chilli Red )</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong> – แดงส้ม (Orange Red)</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong> – แดงอมทอง (Golden Red)</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong> ในปัจจุบัน
อะโรวาน่าแดง ทั้ง 4 สายพันธุ์ ได้ถูกเรียก รวมๆ ทั้งหมด ว่า Super Red
เนื่องจาก ปลาอะโรวาน่าแดง ประเภท Orange Red และ Golden Red เวลาโต
จะเห็นได้อย่างเด่นชัดว่าสีจะไม่แดงเข้ม เท่า 2 สายพันธุ์แรก จากรูปข้างบน
จะเห็นได้อย่างเด่นชัดว่า คุณภาพสีแดงของ Orange Red และ Golden Red
จะออกไปทางส้มอม แดง หรือ ทองอม แดง</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong> ชิลี่เรด และ
บัดเรด ทั้งสองตัวนี้ มีแหล่งกำเนิดจาก แม่น้ำ Kapaus และทะเลสาบ Sentarum
ซึ่งทะเลสาบ Sentarum นี้จะประกอบไป ด้วยทะเลสาบย่อยๆ
ที่สามารถเชื่อมต่อกันได้หมด ทางตอนปลายจะมีทางออกสู่ แม่น้ำ Kapaus
ธรรมชาติของแม่น้ำนี้ จะถูกปกคลุม ด้วยต้น Peat ซึ่งทำให้แลดูเป็นธรรมชาติ
เหมาะสำหรับ การดำรงชีวิตของปลาชนิดนี้มาก สภาพ น้ำในแม่น้ำ Kapuas
จะมีสีดำ ของแร่ธาตุ และอาหาร ซึ่งมีผลต่อสีของปลา ทำให้ อะโรวาน่าแดง
มีสายพันธุ์ย่อยๆ ลงไปอีก โดยสามารถแบ่งแยกได้ จากความเข้มของสี
ที่แตกต่างกัน และ รูปทรงของปลา ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวนี้ พ่อค้าปลา
ได้ตั้งชื่อเรียกปลาอะโรวาน่า ชุดแรกๆ ที่มีการส่งออก ว่า Chilli Red และ
Blood Red โดยที่จะใช้ ความเข้มของสีแดงและ รูปทรงของปลา ในการจำแนก
ปลาทั้งสองชนิดออกจากกัน ในปลาที่โตเต็มที่ ชิลี่เรด
จะสีแดงคล้ายพริกในขณะที่ บัดเรด จะแดงออกสีเลือด ชีลี่เรด
จะมีตาที่ใหญ่สีแดง และหางที่มีรูปร่างคล้ายรูปร่างของเพชร ในขณะที่
บัดเรด จะมีตาที่เล็กกว่า ขาวกว่าและรูปแบบหาง จะกลม เปิดกว้างมากกว่า
ตาที่ใหญ่ของชีลี่เรด บางครั้งขอบ ตาบนจะแตะระดับส่วนบนของหัวพอดี</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong> <img alt="" border="0" height="13" src="http://img.kapook.com/image/icon/plus.gif" width="13" /> 3. อะโรวาน่าทองอินโดนีเซีย ( Red Tail Golden Arowana )</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong>
จำแนกอยู่ภายใต้กลุ่มอะโรวาน่าทอง เช่น เดียวกับทองมาเลย์ ปลาชนิดนี้ พบใน
Pekan Baru ในประเทศอินโดนีเซีย เวลามันโต เต็มที่
มันจะไม่ทองแบบเหลืองอร่ามทั้งตัว ทองอินโด สามารถแบ่งประเภท ตาม
สีของเกล็ดได้ 4 ประเภท คือ พวกที่มีฐานเกล็ด สีน้ำเงิน, เขียว และ ทอง
อะโรวาน่าทองที่มีขนาดเล็ก จะมีสีที่ด้านกว่าของมาเลย์อย่างเห็นได้ชัด</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong> <img alt="" border="0" height="13" src="http://img.kapook.com/image/icon/plus.gif" width="13" /> 4. อะโรวาน่าเขียว Green Arowana</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong>
แหล่งกำเนิดของปลาตัวนี้ พบกระจายอยู่ใน มาเลเซีย พม่า อินโดนีเซีย และ
ประเทศไทย ใน แถบจังหวัด จันทบุรี ตราด บริเวณด้านหลังจะมีสีเขียวอมน้ำตาล
สีเทา หรือเทาอมเขียว
เกล็ดบริเวณด้านข้างลำตัวมีสีเงินหรือเงินเหลือบเขียว
ครีบทุกครีบสีน้ำตาลอมเขียว</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong>2. อะโรวาน่าจากทวีปอเมริกาใต้</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong> สำหรับ
อะโรวาน่าที่มาจากทวีปอเมริกา มีด้วยกัน 3 ชนิด คือ อะโรวาน่าเงิน
อะโรวาน่าดำ และ อะราไพม่า ชาวพื้นเมือง จะเรียกปลาอะโรวาน่า ว่า “ลิงน้ำ
(Water Monkey)” เนื่องจากลักษณะการ กระโดด ขึ้นกินแมลง
ที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ เหนือ ผิวน้ำ</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong> <img alt="" border="0" height="13" src="http://img.kapook.com/image/icon/plus.gif" width="13" /> อะโรวาน่าเงิน (Silver Arowana)</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong>
มีแหล่งกำเนิดในลุ่มน้ำอะเมซอนในจิอานา(Guiana) อเมริกาใต้
เมื่อโตเต็มที่ยาวถึง 1 เมตร ลำตัวยาวและแบนข้างมาก เรียงไปทางส่วนโคนหาง
ส่วนท้องแบนเป็นสัน ลำตัวมีสีเงินอมเทา หรือเหลืองอมเขียว
บางตัวเมื่อโตขึ้นจะมีสีขาวเหมือนหิมะ จึงเรียกว่า snow arowana
บริเวณลำคอจะมีสีส้มหรือส้มอมแดง เกล็ดตามตัวมีขนาดใหญ่
เกล็ดตามเส้นข้างตัวมี 31-35 เกล็ด
บนเกล็ดมีจุดสีแดงและสะท้อนแวววาวเมื่อมีแสงสว่าง
ครีบมีสีเหลืองหรือเขียวอ่อน ปากกว้างมากเมื่อยื่นขึ้นไปด้านบน
ริมฝีปากล่างยื่นออกไปกว่าริมฝีปากบนเล็กน้อย
ปลายริมฝีปากล่างมีหนวดขนาดใหญ่ 2 เส้น หนวดมีสีน้ำเงินหรือฟ้าน้ำทะเล
ครีบก้นยาวมากเริ่มจากลำตัวยาวไปจนถึงโคนหางมีก้านครีบ 50-55 ก้าน
ส่วนครีบหลังอยู่ตรงกันข้ามกับครีบก้นแต่สั้นกว่าครีบก้นเล็กน้อย
จำนวนก้านครีบ 42-46 ก้าน</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong> <img alt="" border="0" height="13" src="http://img.kapook.com/image/icon/plus.gif" width="13" /> อะโรวาน่าดำ (Black Arowana)</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong>
พบแพร่กระจายบริเวณแม่น้ำริโอนิโกร (Rio Negro) ในบราซิล
ลักษณะลำตัวโดยทั่วไปจะคล้ายคลึงกัน
กับอะโรวาน่าเงินมากในขณะที่ปลาอายุยังน้อยยังมีเส้นขนาดเล็กคาดอยู่
อะโรวาน่าดำจะมีสีคล้ำกว่าอะโรวาน่าเงินมาก
และจะมีแถบสีดำพาดไปตามความยาวลำตัว แต่เมื่อปลามีอายุมากขึ้น
สีบริเวณลำตัวจะซีดจางลงจนมีสีใกล้เคียงกับอะโรวาน่าเงิน
จุดที่พอจะสังเกตุความแตกต่างได้เมื่อปลาอายุมากขึ้นคือ
ครีบหลังและครีบก้น
อะโรวาน่าดำจะมีขอบครีบหลังและครีบก้นเป็นสีดำในขณะที่อะโรวาน่าเงินไม่มี</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong> <img alt="" border="0" height="13" src="http://img.kapook.com/image/icon/plus.gif" width="13" /> อะราไพม่า หรือ ปลาช่อนยักษ์ ( Aarapaima )</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong>
ในธรรมชาติปลาอะราไพม่าจะกิน ปลาตระกูลแคชฟิช บางชนิดเป็นอาหาร
ในบางครั้งก็อาจจะกระโดดขึ้นมาเหนือน้ำ เพื่อจับนก ที่บินไปบินมา
ปลาพิรารูคู หรือ อะราไพม่า ที่เรารู้จักดี เป็นปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่
ที่สุดในโลก สามารถเติบโต ได้ถึง 10 ฟุต น้ำหนักถึง 400 ปอนด์
จากหลักฐานเท่าที่มีการยืนยัน เมื่อ
ร้อยปีที่แล้วมีคนเคยจับได้ขนาดใหญ่สุดถึง 15 ฟุต 4.6 เมตร
ปลาช่อนยักษ์จะวางไข่ราวๆ ช่วงเดือนมกราคม ถึง มีนาคม ไข่เป็นพันๆ
ฟองจะถูกวางในแอ่งดินใต้น้ำ ที่พ่อแม่ปลา
ช่วยกันเตรียมรังเอาไว้ต้อนรับลูกน้อย</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong> ปลาชนิดนี้
มีลิ้นเป็นกระดูกแข็ง Bony Tongue ซึ่งมีฟันชุดที่สองเรียงราย อยู่
ด้วยคุณสมบัติดังนี้ ทำให้ปลาช่อนยักษ์ สามารถกินปลาในตระกูล Catfish
ซึ่งเป็นปลาที่มีเกราะหุ้ม อันแข็งของปลาในกลุ่มนี้</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong>3. อะโรวาน่าจากทวีปแอฟริกา (African Arowana)</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong>
อะโรวาน่าที่พบในอัฟริกามีเพียงชนิดเดียวเท่านั้น
อาศัยแพร่กระจายอย่างกว้างขวางจากตอนบนของแม่น้ำไนล์
บริเวณส่วนกว้างอัฟริกาไปจนถึงฝั่งตะวันตก ขนาดใหญ่ที่สุดของปลาชนิดนี้
มีความยาวลำตัวถึง 4 ฟุต ลำตัวค่อนข้างแบนและกว้าง(ลึก)
ส่วนหัวค่อนข้างหนาและสั้น ด้านบนโค้งเล็กน้อย
ลำตัวด้านหลังและด้นข้างมีสีน้ำเงินอมดำ น้ำตาลอมเทา
น้ำตาลอมแดงหรือน้ำตาลอมเขียว
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ปลาอาศัยอยู่
ส่วนบริเวณท้องจะมีสีซีดกว่าด้านข้าง อาจจะมีสีครีมหรือน้ำตาลอมเหลือง
ส่วนครีบต่างๆจะมีสีคล้ายกับสีของลำตัว จงอยปากสั้นกลม ริมฝีปากหนา
ปากมีขนาดเล็กแต่มีฟันเต็มปาก ไม่มีหนวดที่ขากรรไกรล่าง
ครีบหลังและครีบท้องอยู่ค่อนไปทางด้านหาง ครีบหางมีขนาดเล็ดรูปร่างกลม
ครีบอกและครีบท้องมีขนาดเล็ก ครีบอกอยู่ค่อนไปทางด้านล่างของลำตัว
ครีบท้องมีก้านครีบเพียง 6 ก้าน บริเวณหัวไม่มีเกล็ด
เกล็ดตามแนวเส้นข้างลำตัว 32-38 เกล็ด</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong>4. อะโรวาน่าจากทวีปออสเตรเลีย (Saratogos)</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong>
ที่พบในทวีปนี้ มีด้วยกัน 2 ชนิด พบที่ออสเตรเลียเหนือ มีชื่อว่า Nothern
Saratogas และที่พบที่ ออสเตรเลียตะวันออก ชื่อว่า Spotted Saratogas</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong> <img alt="" border="0" height="13" src="http://img.kapook.com/image/icon/plus.gif" width="13" /> อะโรวาน่าออสเตรเลียเหนือ (Nothern Saratoga)</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong>
พบในทางตอนเหนือ ของประเทศออสเตรเลีย และ หมู่เกาะนิวกีนี
ในประเทศอินโดนีเชีย ปลาชนิดนี้ เป็นปลาอะโรวาน่า ที่มีรูปร่าง ที่คล้าย
อะโรวาน่าจากทวีปเอเชียมากที่สุด</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong>
มีขนาดโตเต็มที่ ประมาณ 90 เซนติเมตร ลักษณะ ที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
ของอะโรวาน่าออสเตรเลีย จากอะโรวาน่าในแถบทวีปเอเชีย คือ จำนวนแถว
ของเกล็ด จะมีมากแถวกว่า โดยที่อะโรวาน่าออสเตรเลีย จะมีเกล็ด 7 แถว
ในขณะที่ ของอะโรวาน่าจากเอเชีย มี เพียง 5 แถว
ส่งผลให้ขนาดของเกล็ดปลาจะมีขนาดเล็กลง ขอบเกล็ดของปลาอะโรวาน่าชนิดนี้
จะออกสีส้ม เหลือบเขียว เป็นรูปเสี้ยวพระจันทร์</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong> <img alt="" border="0" height="13" src="http://img.kapook.com/image/icon/plus.gif" width="13" /> อะโรวาน่าออสเตรเลียตะวันออก (Spotted Saratoga)</strong></span><br />
<span style="color: lime;"><strong>
มีถิ่นกำเนิดในรัฐ ควีนส์แลนด์ ในลุ่มแม่น้ำ Dawson อะโรวาน่า ชนิดนี้
หรือ ที่เรียกกัน สั้นๆ ว่า อะโรวาน่าออสเตรเลียจุด มีขนาดความยาวสูงถึง
90 ซม. ลักษณะลำตัวยาวเรียว บริเวณสันหลังตรง
ลำตัวบริเวณด้านหลังและด้านข้างลำตัวเป็นสีน้ำตาล หรือน้ำตาลอมเขียว
หรือเหลืองอมเขียว บริเวณส่วนท้องสีจางกว่าลำตัว เกล็ดมีขนาดใหญ่
มีเกล็ดตามเส้นข้างตัว 35 เกล็ด
มีจุดสีส้มอมแดงและสะท้อนแสงบนเกล็ดแต่ละเกล็ดจำนวน 1-2 จุด
ครีบหลังและครีบก้นสีเหลืองอ่อน ขอบครีบทั้งสองเข้มจนเกือบดำ
ครีบก้นยาวกว่าครีบหลังเล็กน้อยมีก้านครีบ 31 ก้าน ครีบหลังมีก้านครีบ 20
ก้าน</strong></span><br />
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09492548863592149512noreply@blogger.com0